WORDS
|
คำในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็นชนิดต่างๆได้ ๘ ชนิด
ด้วยกันคือ
|
1. Noun
|
2. Pronoun
|
3. Adjective
|
4. Adverb
|
5.
Verb
|
6. Conjunction
|
7. Preposition
|
8. Interjection
|
ในภาษาอังกฤษนั้นการสร้างประโยคจะใช้คำต่างๆเหล่านี้มาแต่งเป็นประโยคขึ้น
ซึ่งคำแต่ละชนิดนี้จะมีลักษณะเฉพาะของตนเอง
|
คือมีหน้าที่ต่างกันและมีการวางตัวต่างกันด้วย
ซึ่งต่อไปนี้จะได้อธิบายพื้นฐานเรื่องหลักการใช้คำต่างๆ เหล่านี้และหลักการแต่งประโยคอย่างง่ายๆ
|
NOUN
|
Noun คือคำที่ใช้เป็นชื่อของ คน สัตว์
สิ่งของและสถานที่ แบ่งออกได้ 5 ชนิดคือ
|
1. Common
Noun
|
2. Proper Noun
|
3.
Collective Noun
|
4. Material
Noun
|
5. Abstract
Noun
|
หน้าที่ของนาม
|
นามทั้ง 5 ชนิดที่กล่าวมานั้น เวลานำไปพูดหรือเขียน
สามารถทำหน้าที่ได้ 7 อย่างคือ
|
1. เป็น
Subject ของกิริยาในประโยคได้.
|
2. เป็น Object ของกิริยาในประโยคได้.
|
3. เป็น Object ของ Preposition (บุรพบท) ได้.
|
4. เป็น Complement คือส่วนสมบูรณ์ของกิริยาได้.
|
5. เป็น Appositive คือเป็นนามซ้อนนามได้.
|
6. เป็น Address คือเป็นนามเรียกขานได้
(และต้องใส่, Comma ด้วย).
|
7. เป็น Possessive คือเป็นนามแสดงความเป็นเจ้าของได้
(และต้องใส่ Apostrophe’s ด้วย)
|
Pronoun
|
Pronoun (คำสรรพนาม) คือคำที่มีไว้สำหรับ(พูด,เขียน)แทนชื่อของคน,สัตว์,สิ่งของ,และสถานที่เพื่อป้องกันมิให้กล่าวชื่อนั้นซ้ำๆซากๆ
ซึ่งเป็นการฟังไม่ไพเราะ
|
Pronoun มีอยู่ 8 ชนิดด้วยกันคือ
|
1. Personal Pronoun
|
2. Possessive Pronoun
|
3. Definite Pronoun
|
4. Indefinite Pronoun
|
5. Interrogative Pronoun
|
6. Relative Pronoun
|
7. Reflexive Pronoun
|
8. Distributive Pronoun
|
1. Personal Pronoun บุรุษสรรพนาม
คือสรรพนามที่ใช้แทนชื่อของผู้พูด, ผู้ฟัง, และผู้ที่ถูกกล่าวถึง ซึ่งมีออยู่ 2
พจน์ 3 บุรุษ คือ
|
บุรุษที่
1
|
บุรุษที่
2
|
บุรุษที่
3
|
|
Personal Pronoun แบ่งได้
5 รูป คือ
|
รูปที่
1
|
I
|
We
|
You
|
He
|
she
|
It
|
they
|
2. Possessive Pronoun สามีสรรพนาม
คือสรรพนามที่ใช้แสดงความเป็นเจ้าของ ซึ่งก็คือบุรุษสรรพนามรูปที่
4 นั่นเอง เวลาใช้ไม่ต้องมีนามตามหลัง
มีหน้าที่ 3 อย่างคือ
|
2.1 เป็นประธานของกิริยาในประโยค
เช่น Your book is green, mine
is red.
|
2.2 เป็นส่วนสมบูรณ์ของกิริยา
เช่น this pencil is mine, that one is
your.
|
2.3 ใช้เรียงตามหลังบุรพบท(คำเชื่อมคำ) เพื่อเน้นความเป็นเจ้าของให้ชัดเจนขึ้นได้เช่น
A friend of yours was killed
last night.
|
3. Definite Pronoun นิยมสรรพนาม
คือสรรพนามที่ชี้เฉพาะและใช้แทนนามได้ ที่นิยมใช้แพร่หลายมีอยู่ 6
ตัวคือ (รวมทั้ง which ด้วย)
|
this, that, one
3 ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นเอกพจน์.
|
These, those, ones 3 ตัวนี้ใช้แทนนามที่เป็นพหูพจน์.
|
*นิยมสรรพนามนี้ ทำหน้าที่เป็นประธานหรือกรรมของกิริยาในประโยคได้ตามแต่
จะ ใช้งาน.
|
4. Indefinite pronoun อนิยมสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนนามได้ทั่วไป ไม่เฉพาะเจาะจงว่าแทนคนนั้นคนนี้โดยตรง
(ตรงข้ามกับ Definite Pronoun) ได้แก่คำว่า
some, any, all, someone, somebody,
anybody, few, everyone, many, nobody,
everybody, othe
|
*ข้อสังเกต ทั้งนิยมสรรพนามและอนิยมสรรพนาม
ถ้าใช้โดยมีคำนามอื่นตามหลังจะกลายเป็นคำคุณศัพท์ไป แต่ถ้าใช้โดยไม่มีคำนามอื่นตามหลังจึงจะเป็นนิยมสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม.
|
5. Interrogative pronoun ปฤจฉาสรรพนาม
คือสรรพนามที่ใช้เป็นคำถาม และต้องไม่มีนามตามหลังด้วยจึงจะเรียกว่าเป็นปฤจฉาสรรพนาม
ได้แก่ Who , whom,
whose , what, which ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้.
|
· Who (ใคร)
ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นประธานของกิริยาในประโยคได้
บางครั้งก็เป็นกรรมได้
|
เช่น. Who
is standing there ? ใครกำลังยืนอยู่ที่นั่น?.
|
·Whom (ใคร) ใช้ถามถึงบุคคลและเป็นกรรมของกิริยาหรือบุรพบท (บางครั้งใช้ Who แทน). เช่น Whom
do you love ? คุณรักใคร ?.
|
·Whose (ของใคร) ใช้ถามถึงเจ้าของ และต้องเป็นบุคคลเท่านั้น
เช่น. Whose is the car ? รถคันนี้เป็นของใคร
|
· What (อะไร) ใช้ถามถึงสิ่งของเป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น:-
|
- ถ้าเป็นประธานต้องไม่ใช้กริยาอะไรมาช่วยทั้งสิ้น
เช่น What delayed you ? อะไรทำให้คุณล่าช้า.
|
- ถ้าเป็นกรรมต้องมีกริยาช่วยตัวอื่นมาร่วมด้วย
และวางไว้หลัง What เช่น What do
you want ?
|
· Which (สิ่งไหน อันไหน) ใช้ถามถึงสัตว์, สิ่งของ, เป็นได้ทั้งประธานและกรรม
เช่น ถ้าเป็นประธานไม่ต้องใช้กริยาอื่นมาช่วย
Which is the best? อันไหนดีที่สุด
?.( อนึ่ง ปฤจฉาสรรพนาม Whose
,which, what นี้ ถ้าใช้โดยมีนามอื่นต
|
|
6. Relative Pronoun ประพันธ์สรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนที่อยู่ข้างหน้า
และในขณะเดียวกันก็ทำหน้าที่เชื่อมประโยค ซึ่งอาจเป็นประธานของประโยคหลังได้ด้วย
ได้แก่ Who, Whom, Whose, Which,
Where, what, when, why, that .
|
·Who (ผู้ซึ่ง) ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นจะต้องเป็นผู้กระทำด้วย เช่น
The man who came here last
week is my cousin. ชายผู้ซึ่งมาที่นี่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเป็นลูกพี่ลูกน้องของฉัน.
|
·Whom (ผู้ซึ่ง) ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลและบุคคลนั้นต้องเป็นผู้ถูกกระทำด้วย เช่น The
boy whom you saw yesterday is
my brother. เด็กชายผู้ซึ่งคุณพบเมื่อวานนี้เป็นน้องชายของผม.
|
·Whose (ผู้ซึ่ง…..ของเขา)
ใช้แทนนามที่เป็นบุคคลเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของนามที่ตามหลัง
ดังนั้นเมื่อมี Whose ก็ต้องมีนามตามหลัง Whose เสมอ เช่น The
girl whose father is a teacher
goes to school every day. เด็กหญิงผู้ซึ่งพ่อของเขาเป็นครูนั้นไ
|
·Which (ที่,ซึ่ง) ใช้แทนนามที่เป็นสัตว์ สิ่งของ
เป็นได้ทั้งประธานและกรรม The
animal which
has wing is a bird. สัตว์ที่มีปีกนั้นคือนก(เป็นประธานของอนุประโยค
has wings) The kitten which I gave
to my aunt is very naughty.
|
·Where (อันเป็นที่) ใช้แทนนามที่เป็นสถานที่ เป็นได้ทั้งประธานและกรรม เช่น
The night club is the place where
is not suitable for children. ไนท์คลับเป็นสถานที่ที่ไม่เหมาะสมสำหรับเด็กๆ(เป็นประธานของอนุประโยค
is not suitable for children ) Th
|
·What (อะไร,สิ่งที่)
ใช้แทนนามที่เป็นสิ่งของ นามที่ What ไปแทนทำหน้าที่เป็นประพันธ์สรรพนามนั้นไม่ต้องปรากฏให้เห็นอยู่ข่างหน้าเหมือนประพันธ์สรรพนามตัวอื่น
ทั้งนี้เพราะถูกละไว้ในฐานะที่เข้าใจแล้ว เช่น I know what
is in the box. ฉันรู้ว่าอะไรอยู่ในก
|
·When (เมื่อ,ที่)
ใช้แทนนามที่เกี่ยวกับเวลา ,วัน,
เดือน,ปี เช่น
Sunday is the day when we
don’t work. วันอาทิตย์คือวันที่เราไม่ทำงาน.
|
·Why (ทำไม) ใช้แทนนามที่เป็นเหตุผล (ส่วนมากใช้แทน reason
) เช่น This is the reason why
I go to Hong Kong. นี้คือเหตุผลที่ว่า
ทำไมผมจึงไปฮ่องกง.
|
·
That (ที่,ซึ่ง)
ใช้แทนคน, สัตว์, สิ่งของ,
และสถานที่ได้ แต่ต้องอยู่ในหลักเกณฑ์ 4
ประการอย่างใดอย่างหนึ่ง อันได้แก่
:-
|
1. เป็นนามที่มีคุณสมบัติสูงสุดมาขยายอยู่ข้างหลัง
เช่น He is the tallest man that I
have ever seen. เขาเป็นคนสูงที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา.
|
2. เป็นนามที่มีเลขจำนวนนับที่มาขยายอยู่ข้างหน้า
เช่น China is the first
country that I am going to visit. จีนเป็นประเทศแรกที่ข้าพเจ้าจะไปเที่ยว.
|
3. เป็นนามที่มีคุณศัพท์บอกปริมาณมาขยายอยู่ข้างหน้า
เช่น She has much money that she give
me. หล่อนมีเงินอยู่มากที่หล่อนจะให้ผม.
|
4. เป็นสรรพนามผสมต่อไปนี้ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่แล้ว
คือ someone, somebody, something, anyone,
anything, anybody, anyone, everything, no
one, nothing, etc. เช่น
There is nothing that I can do
for you. ไ
|
7.
Reflexive Pronoun สรรพนามสะท้อนหรือเน้น
ได้แก่บุรุษสรรพนามที่ 5 นั่นเอง
อันได้แก่ myself, yourself, …….
Themselves. เวลาใช้มีวิธีใช้ 4 อย่างคือ :-
|
1. เรียงไว้หลังประธาน เมื่อต้องการเน้นว่าประธานเป็นผู้กระทำกิจนั้นด้วยตนเอง
เช่น I myself study
English. ผมเรียนภาษาอังกฤษด้วยตนเอง.
|
2. เรียงไว้หลังกริยา
เมื่อบอกว่าผลการกระทำนั้นเกิดจากผู้กระทำเองเช่น I
will punish myself if I do
mistakes ผมจะลงโทษตัวเอง หากผมทำผิด.
|
3. เรียงไว้หลังกรรม
เมื่อต้องการเน้นกรรมนั้นเช่น I
spoke to the President himself
. ผมได้พูดกับตัวท่านประธานาธิบดีเอง.
|
8. Distributive Pronoun
วิภาคสรรพนาม คือสรรพนามที่ใช้แทนคำนามในการแบ่งหรือจำแนกออกเป็นครึ่งหนึ่ง,
สิ่งหนึ่ง, หรือตัวหนึ่ง วิภาคสรรพนามที่นิยมใช้กันมากคือ
|
each แต่ละ,
either คนใดคนหนึ่ง,
neither ไม่ใช่ทั้งสอง หรือไม่ใช่ทั้งสอง
เช่น There are ten boy
. Each has one hundred
bath. มีเด็กอยู่ 10 คน
แต่ละคนมีเงินอยู่คนละ 100 บาท.
|
* ข้อสังเกต วิภาคสรรพนามถ้าใช้ลอยๆเป็นสรรพนาม แต่ถ้าใช้โดยมีนามอื่นตามหลังจะเป็นคุณศัพท์
|
ลักษณะพจน์ของนามโดยทั่วไป
|
ในการสร้างประโยคนั้นจะต้องใช้กริยาให้สอดคล้องกับพจน์ของตัวประธาน
ถ้าประธานเป็นเอกพจน์กริยาก็ต้องเป็นเอกพจน์ ถ้าประธานเป็นพหูพจน์กริยาก็ต้องเป็นพหูพจน์ ซึ่งหลักในการดูว่านามนั้นเป็นเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นก็ให้ดูที่ท้ายศัพท์นั้นๆคือ
|
1. ถ้าท้ายศัพท์นั้นไม่เติม
S ให้ถือว่าเป็นเอกพจน์ เช่น
a book , a cat … etc.
|
2. ถ้าท้ายศัพท์นั้นเติม
S ให้ถือว่าเป็นพหูพจน์ เช่น
Books, cats …. etc.
|
* ข้อยกเว้น มีนามหลายตัว
หรือหลายลักษณะที่ไม่อยู่ในหลักการทั้ง ที่กล่าวมาแล้วนั้น
ซึ่งเป็นเรื่องที่ละเอียดเกินไปที่เราควรจะรู้ในขณะนี้
ดังนั้นจะไม่กล่าวถึงกรณีที่ยกเว้นเหล่านี้ ถ้าใครสนใจอยากรู้มากขึ้นก็พึงหาศึกษาเอาเองต่อไป.
|
|
เพศของนาม
|
นามในภาษาอังกฤษทั้ง 5 ชนิด
เมื่อจำแนกออกเป็นเพศแล้วจะมีอยู่ 4 เพศ คือ
|
1. Masculine Gender เพศชาย
เช่น boy, man….etc.
|
2.
Feminine Gender เพศหญิง
เช่น girl, woman …etc.
|
3. Common Gender เพศรวม
เช่น Teacher, Student…etc.
|
4. Nature Gender ไม่มีเพศ เช่น
pen, desk…etc.
|
หลักการเปลี่ยนเพศชายเป็นเพศหญิงมีหลักเกณฑ์ 4 อย่างคือ
|
1. โดยการเปลี่ยนคำทั้งคำจากเพศชายเป็นเพศหญิง
เช่น Boy เป็น
Girl เป็นต้น
|
2. โดยการเติมอาคม
ess ที่ท้ายคำเพศชาย เช่น
Prince เป็น Princess เป็นต้น
|
3. โดยการเติมคำที่เป็นเพศหญิงข้างหน้านาม
จะกลายเป็นเพศหญิง เช่น
Boy-friend เป็นgirl-
|
friend เป็นต้น.
|
4. โดยการเติมคำที่เป็นเพศหญิงข้างหลังนามจะกลายเป็นเพศหญิง
เช่น Grand-father
|
เป็น
Grandmother เป็นต้น.
|
จบเรื่องนามและสรรพนาม
|
Article
|
Article คือคำที่ใช้นำหน้านาม
คือคำนามในภาษาอังกฤษทุกตัว เวลาพูด-เขียนจะต้องมี Article
นำหน้าทั้งสิ้น(ยกเว้นบางตัวที่จะกล่าวต่อไป)
|
Article มีอยู่ 2 ชนิดคือ
|
1. Indefinite Article คือคำนำหน้านามแล้วมีความหมายทั่วไป
อันได้แก่ A , An.
|
2. Definite Article คือคำนำหน้านามแล้วมีความหมายชี้เฉพาะ
ได้แก่ The .
|
|
หลักทั่วไปของการใช้ A
|
คือเมื่อ A นำหน้านามใดนามนั้นต้องมีลักษณะครบ
4 ประการ อันได้แก่
|
1. เป็นนามเอกพจน์
|
2. เป็นนามนับได้
|
3. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ
|
4. เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป
|
* ข้อยกเว้น ห้ามใช้ A นำหน้า คือนามบางตัวที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ แต่อ่านออกเสียงสระที่อยู่ถัดไป
นามตัวนั้นให้ใช้ AN นำหน้าแทน
(มี H เท่านั้น)
|
หลักทั่วไปของการใช้ AN
|
คือเมื่อ
AN นำหน้านามใด นามนั้นจะต้องมีลักษณะครบ
4 ประการ คือ
|
1.
เป็นนามเอกพจน์
|
2. เป็นนามนับได้
|
3. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ คือ
A , E , I , O , U.
|
4. เป็นนามที่มีความหมายทั่วไป
|
* ข้อยกเว้น ห้ามใช้
AN นำหน้าคือ นามบางตัวที่ขึ้นต้นด้วยสระ
แต่อ่านออกเสียงเป็นพยัญชนะ”ย”
นามตัวนั้นให้ใช้ A นำหน้าแทน
(มี U และ
E เท่านั้น).
|
นามต่อไปนี้ห้ามใช้ทั้ง A และ AN
นำหน้าเด็ดขาด
|
1. นามที่นับไม่ได้ทุกชนิด
|
2. นามพหูพจน์ทุกชนิด
|
|
หลักทั่วไปของการใช้ THE
|
ใช้นำหน้าได้ทุกชนิด ทุกประเภท นั่นคือ
|
1. เป็นนามเอกพจน์
ก็ใช้ The นำหน้าได้
|
2. เป็นนามพหูพจน์ ก็ใช้ The นำหน้าได้
|
3. เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยพยัญชนะ ก็ใช้ The นำหน้าได้
|
4.
เป็นนามที่ขึ้นต้นด้วยสระ ก็ใช้ The นำหน้าได้ (แต่ให้อ่านว่า ดิ )
|
5. เป็นนามที่นับได้ ก็ใช้ The นำหน้าได้
|
6. เป็นนามที่นับไม่ได้ ก็ใช้
The นำหน้าได้
|
7.
แต่นามที่กล่าวมาทั้งหมดนี้จะต้องมีความหมายชี้เฉพาะเจาะจงเท่านั้น.
|
นามต่อไปนี้ห้ามใช้ THE นำหน้า
|
1. นามที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ
|
2.
นามที่ระบุไว้ในหัวข้อว่าห้ามใช้ THE นำหน้า(ซึ่งมีข้อห้ามมากมายแต่จะไม่กล่าวถึง)
|
* อนึ่งแม้ลักษณะของประโยคจะไม่มีคำบ่งชี้เฉพาะเอาไว้
แต่ถ้านามนั้นเป็นที่รู้จักกันดีระหว่างผู้พูดและผู้ฟัง
ก็ให้ใช้ THE นำหน้าได้.
|
การใช้ A, AN, THE แบบระคน
|
- ถ้านามนั้นมีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมา
ขยายอยู่ข้างหลัง ให้ใช้ the ทันที.
|
- ถ้านามนั้นไม่มีบุรพบทวลีหรืออนุประโยคมาขยายอยู่ข้างหลังให้ใช้
a, an ทันที
|
*
มีหลักพิเศษอีกอย่างหนึ่งคือ นามใดก็ตามที่เป็นเอกพจน์นับได้
ที่กล่าวขึ้นมาลอยๆ ให้เติม a , an ทันที แต่ถ้านามนั้นถูกยกขึ้นมากล่าวอีกเป็นครั้งที่
2 ให้เติม the ทันที.
|
* อนึ่งยังมีรายละเอียดเกี่ยวกับคำนามบางตัวว่านามตัวใดใช้เฉพาะ
A, AN และนามตัวใดใช้เฉพาะ THE ซึ่งเป็นคำนามพิเศษ แต่ในที่นี้จะไม่กล่าวถึง.
|
จบเรื่อง Article
|
Adjective
|
Adj. คือคำที่ใช้บรรยายคุณภาพของนาม
(ขยายนาม) เช่น Good,
tall, fat ..etc.
|
Adj. เวลานำไปใช้นั้นปรกติมีวิธีใช้อยู่
2 วิธีคือ
|
1. เรียงไว้หน้านามที่ Adj.
นั้นไปขยายโดยตรงก็ได้ เช่น
|
The fat man can’t run quick.
|
A clever boy can answer a difficult
problem.
|
2. เรียงไว้หลัง
Verb to be ก็ได้ เช่น.
|
Somsri is beautiful.
|
My dog is black.
|
* อนึ่งการใช้ Adj. แบบ 1
และ 2 นั้นเป็นการใช้ Adj. แบบทั่วๆไป แต่ยังมี
Adj. พิเศษหลายตัวที่บังคับว่าจะต้องใช้วิธีใดวิธีหนึ่งเท่านั้น
ซึ่งเราจะไม่กล่าวถึง.
|
ชนิดของ Adj.
|
Adj. แบ่งออกเป็น 8 ชนิดคือ.
|
1. Descriptive Adj. คุณศัพท์บอกลักษณะ(หรือคุณภาพ) เช่น
Good, fat, tall, thin, rich ,etc.
|
2. Proper Adj. คุณศัพท์บอกชื่อเฉพาะ(บอกสัญชาติ)คือเป็นAdj. ที่มีรูปมาจากคำนามที่เป็นชื่อเฉพาะ
เช่น Thai (มาจาก Thailand), English (มาจาก England)…
|
3. Quantitative Adj. คุณศัพท์บอกปริมาณ(ว่ามากหรือน้อยเท่านั้น) ได้แก่คำว่า
many, much, little, some, any, all . เช่น He has many
friend เขามีเพื่อนมาก.
|
4. Numeral Adj. คุณศัพท์ที่บอกจำนวน(ว่ามีเท่าไร) ได้แก่คำว่า One, Two, Three…
|
5. Demonstrative Adj. คุณศัพท์ชี้เฉพาะ(เจาะจงว่าเป็นคนนั้นคนนี้ มิได้หมายถึงคนอื่น)ได้แก่คำว่า
the, same, this, that, these, those,
such, such a . เช่น He is
in the same room. เขาอยู่ห้องเดียวกัน.
|
6. Possessive Adj. คุณศัพท์บอกเจ้าของ(มีรูปมาจากบุรุษสรรพนามที่ 3 )แต่เวลาใช้จะต้องมีนามตามหลังด้วยเสมอ
ได้แก่คำว่า my, your, our,
his, her, its, there . เช่น
His dog is white. สุนัขของเขาสีขาว.
|
7. Interrogative Adj. คุณศัพท์คำถาม (ใช้ขยายนามเพื่อให้เป็นคำถาม ต้องวางไว้หน้านามเสมอ ถ้าไม่มีนามตามหลังมันจะเป็นปฤจฉาสรรพนาม)
ได้แก่คำว่า What (อะไร), Which (อันไหน)
,Whose (ของใคร) เช่น Whose
house is that ? นั้นคือบ้านของใคร ? .
|
8. Distributive Adj. คุณศัพท์แบ่งแยก(ใช้ขยายานามเพื่อแบ่งแยกให้เป็นรายบุคคลหรือรายสิ่งตามที่ผู้พูดต้องการ)
และนามที่ถูกขยายนั้นต้องเป็นเอกพจน์ตลอดไป ได้แก่คำว่า
each, (แต่ละ), either (อันใดอันหนึ่ง,
คนใดคนหนึ่ง), neither (ไม่ทั้งสอง),
every (ท
|
จบเรื่อง Adjective
|
Adverbs
|
Adverbs คือคำที่ทำหน้าที่ขยายกริยา,
คุณศัพท์ , หรือขยาย Adverbs ด้วยกันก็ได้
|
หลักการใช้ Adverbs
|
- ถ้าขยายกริยา
ให้เรียงไว้หลังกริยา เช่น The
old man walk slowly.
|
- ถ้าขยายคุณศัพท์
ให้เรียงไว้หน้าคุณศัพท์ เช่น Dang is very strong.
|
- ถ้าขยาย
Adverbs ให้เรียงไว้หน้า Adverbs
เช่น The train runs very fast.
|
ชนิดของ Adverbs
|
Adverbs แบ่งออกเป็นหมวดใหญ่ๆได้
3 หมวด คือ
|
1. Simple Adverbs กริยาวิเศษณ์สามัญ
ใช้ขยายกริยาธรรมดานี่เอง แบ่งได้ 6
หมวดคือ
|
1. Adverbs of time กริยาวิเศษณ์บอกเวลา
ได้แก่คำว่า now, ago, yesterday, ...
|
2. Adverbs of place กริยาวิเศษณ์บอกสถานที่
ได้แก่คำว่า near, far, in, out, …
|
3. Adverbs of frequency กริยาวิเศษณ์บอกความสม่ำเสมอ
ได้แก่คำว่า always, often, again,
usually, …
|
4.Adverbs of Manner กริยาวิเศษณ์บอกอาการ
ได้แก่คำว่า well, slowly,
. quickly, fast..
|
5.
Adverbs of Quantity กริยาวิเศษณ์บอกปริมาณมากน้อย
ได้แก่คำว่า Many, much, very,
too, quite…
|
6. Adverbs of affirmation or negation กริยาวิเศษณ์บอกการรับหรือปฏิเสธ ได้แก่คำว่า yes,
no, not, not at all…
|
2.
Interrogative Adverbs กริยาวิเศษณ์คำถาม ใช้ขยายกริยาเพื่อให้เป็นคำถาม
(ต้องวางไว้หน้าประโยคเสมอ) แบ่งได้ 6 หมวด คือ
|
1. บอกเวลา
ได้แก่คำว่า When (เมื่อไร),
How long (นานเท่าไร).
|
2. บอกสถานที่ ได้แก่คำว่า Where (ที่ไหน).
|
3. บอกจำนวน ได้แก่คำว่า How many (มากเท่าไร),
How often (กี่ครั้ง)..
|
4. บอกกริยาอาการ ได้แก่คำว่า How (อย่างไร)(ใช้กับ
do).
5. บอกปริมาณ ได้แก่คำว่า
How much (มากเท่าไร).
|
6. บอกเหตุผล ได้แก่คำว่า Why (ทำไม).
|
3.
Conjunctive Adverbs กริยาวิเศษณ์สันธาน
ใช้เชื่อมประโยคหน้าและหลังให้สัมพันธ์กัน ได้แก่คำว่า
Why, Where, When, How, Whenever, While ,
As, Wherever..
|
* Adverbs บางคำมีรูปเช่นเดียวกับ
Adj. แต่การใช้ต่างกันคือ
|
- เมื่อวางไว้หน้านาม
หรือหลัง Verb to be ก็จะเป็น Adj.
|
- ถ้าวางไว้หลังกริยาทั่วๆไป
ก็จะเป็น Adverbs.
|
จบเรื่อง Adverbs
|
Verb
|
Verb (กริยา) คือคำที่แสดงถึงการกระทำหรือถูกกระทำของคำที่ทำหน้าที่เป็นประธาน(หรือคำที่ทำหน้าที่ช่วยกริยาด้วยก็ได้) เพื่อบอกถึง
Tense (ช่วงเวลาที่กระทำ) Voice (ผู้พูด)
Mood (อารมณ์ ?)
|
Verb แบ่งออกเป็น 3 ชนิดคือ
|
1. สกรรมกริยา
Transitive Verb กริยาที่ต้องมีกรรมมารับ.
|
2. อกรรมกริยา
Intransitive Verb กริยาที่ไม่ต้องมีกรรมมารับ.
|
3.
กริยานุเคราะห์ Auxiliary Verb กริยาที่บอก Tens, Voice, Mood.
|
|
1. สกรรมกริยา คือกริยาที่ต้องมีกรรมมารับจึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์
เช่น Kick (เตะ),
Eat (กิน) เป็นต้น.
|
คำที่นำมาเป็นกรรมของสกรรมกริยาได้ก็คือ
|
1.
นามทุกชนิด เช่น A
mango.
|
2 สรรพนาม เช่น Him.
|
3. กริยาสภาวมาลา(สภาวะที่เกิดอยู่กับชีวิต)
เช่น To study.
|
4. กริยาที่เติม
ing แล้วนำมาใช้เป็นนาม เช่น
sleeping.
|
5. วลีทุกชนิด เช่น I don’t know what to do.
|
6. อนุประโยค เช่น I know who will come
tomorrow.
|
*อนึ่ง สกรรมกริยาบางตัวหรือบางประโยค
ต้องมีตัวขยายกรรมมารับ จึงจะได้เนื้อความสมบูรณ์ เช่น The people made him
king. (ประชาชนแต่งตั้งให้เขาเป็นพระราชา) เป็นต้น.
|
2. อกรรมกริยา คือกริยาที่มีเนื้อความอยู่ในตัวสมบูรณ์แล้ว ไม่ต้องมีกรรมมารับ เช่น Run,
sleep, swim, sit. เป็นต้น แต่อกรรมกริยาบางตัวก็ต้องมีตัวขยายกิริยาเพื่อให้ประโยคได้ใจความสมบูรณ์
ซึ่งอกรรมกริยานั้นก็ได้แก่ Verb to be
(เป็น, อยู่, คือ)
Verb
|
3. กริยานุเคราะห์
หรือกริยาช่วย ได้แก่กริยาที่ไปทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่น
เพื่อให้เป็น Mood, Voice,
Tense ซึ่งกริยาเหล่านี้ใช้เป็นกริยาแท้ก็ได้
ใช้เป็นกริยาช่วยก็ได้ มีอยู่ทั้งหมด
24 ตัว คือ.
|
Is, am, are, was, were
|
Have, has, had,
|
Do, dose, did
|
Will, would
|
Shall, should
|
Can, could
|
May, might
|
Must
|
Need
|
Dear
|
Ought to, us to.
|
*ข้อสังเกตว่าจะเป็นกริยาแท้หรือเป็นกิริยาช่วยก็ให้ดูว่า
ถ้ากริยาตัวใดตัวหนึ่งจาก 24 ตัวนี้อยู่ในประโยคเพียงลำพังไม่มีกริยาอื่นมาร่วมอยู่ด้วย
ก็เป็นกริยาแท้ แต่ถ้ามีกริยาอื่นมาร่วมอยู่ด้วยก็ทำหน้าที่เป็นกริยาช่วย
เช่น.
|
Ladda is a beautifily girl.
(แท้).
|
Ladda is drinking
water. (ช่วย).
|
หน้าที่ Verb to be
|
Verb to be ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังนี้
|
1. วางไว้หน้ากริยาที่เติม
Ing ทำให้ประโยคนั้นเป็น
Continuous tense.
|
2. วางไว้หน้ากริยาช่อง 3 (เฉพาะสกรรมกริยา) ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก(เอากรรมขึ้นต้นประโยค)
มีสำเนียงว่า ถูก เช่น A glass is broken. แก้วถูกทำให้แตกเสียแล้ว
เป็นต้น.
|
3.
วางไว้หน้ากริยา สภาวมาลา Infinitive แปลว่า จะต้อง มีความหมายเป็นอนาคต
เพื่อแสดงความจงใจ เช่น
I am to see my home every
year. ฉันต้องไปเยี่ยมบ้านของฉันทุกๆปี
เป็นต้น.
|
หน้าที่ของ Verb to do
|
Verb to ใช้ทำหน้าที่ช่วยกริยาตัวอื่นได้ดังนี้.
|
1. ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคคำถาม
ตามหลักที่ว่า
|
|
Verb to have ไม่มี
|
Verb to be ไม่อยู่
|
Verb to do มาช่วย
|
|
2. ช่วยทำประโยคบอกเล่าให้เป็นประโยคปฏิเสธเหมือนกรณีข้อ
1 (เติม
ing
.
.
หลัง do, dose )
|
3. ช่วยหนุนกริยาตัวอื่นเพื่อให้ความสำคัญกับกริยาตัวนั้น
ว่าจะต้องเป็นเช่นนั้น
|
จริงๆ โดยเรียงไว้หน้ากริยาที่มันไปหนุน.
|
4.
ใช้แทนกริยาตัวอื่นในประโยค
เพื่อต้องการมิให้กล่าวกริยานั้นๆซ้ำๆซากๆ.
|
5. Verb to do ถ้านำมาใช้เป็นกริยาแท้แปลว่า
ทำ.
|
|
หน้าที่ของ Verb to have
|
Verb to have ใช้ทำหน้าที่ดังนี้คือ
|
1. เรียงไว้หน้ากริยาช่อง 3
ทำให้ประโยคนั้นเป็น Perfect tense.
|
2. ใช้โดยมีกริยาสภาวมาลาตามหลัง
มีสำเนียงแปลว่า ต้อง ตลอดไป เช่น
|
I have to meet you
tomorrow. ฉันต้องไปพบท่านวันพรุ่งนี้.
|
3. ใช้ในประโยคที่ให้ผู้อื่นทำอย่างใดอย่างหนึ่งให้
ในกรณีนี้ต้องใช้รูปประโยค Have
+ noun + Verb 3 . เช่น
He has his house repaired. เขาให้ช่างซ่อมแซมบ้านของเขา.
|
หน้าที่ของ Will, shall, would, should.
|
Will ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล
ใช้กับประธานบุรุษที่ 2, 3.
|
Shall ช่วยกริยาตัวอื่นเพื่อให้เป็นอนาคตกาล
ใช้กับประธานบุรุษที่ 1 คือ I, We.
|
|
Would ใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.
|
1. ใช้เป็นอดีตของ
will ในประโยคที่เปลี่ยนจากคำพูดของผู้อื่นมาเป็นของตน
|
2. ใช้เป็นกริยาช่วยในสำนวนการพูด
“อยากจะ” “อยากให้”.
|
3. ใช้ในสำนวนการพูดว่า” ควรจะ…ดีกว่า” ควบกับ Better
หรือ rather
|
Should ใช้เป็นกริยาช่วยได้ดังต่อไปนี้.
|
1. เป็นอดีตของ
Shall ได้.
|
2. Should เมื่อแปลว่า
“ควร” หรือ “ควรจะ” ถือเป็นปัจจุบันกาลใช้ได้กับทุกประธาน
|
หน้าที่ของ May, Might
|
May นำมาช่วยได้ดังนี้.
|
1. เพื่อแสดงความมุ่งหมาย (เพื่อ)
|
2. เมื่อแสดงความปรารถนา
หรืออวยพรให้(ขอให้) *ต้องวางไว้หน้าประโยค.
|
3. เพื่อช่วยถึงการอนุญาต
หรือขออนุญาต(ควรจะ)
|
4. เพื่อแสดงความคาดคะเน (อาจจะ).
|
5. ช่วยเพื่อแสดงความสงสัย
(อาจจะ).
|
Might นำมาช่วยได้ดังนี้.
|
1. ใช้เป็นอดีตของ
May.
|
2. ใช้ในกรณีที่ผู้พูดไม่แน่ใจว่าเขาจะทำอย่างนั้นจริง(แต่ถ้าแน่ใจใช้
May แทน).
|
Need
|
Need ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “จำเป็นต้อง”
|
ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์(ส่วนมากใช้เป็นกริยาช่วยในประโยคคำถามและประโยคปฏิเสธเท่านั้น
และกริยาแท้ที่ตามหลัง Need ไม่ต้องใช้
To นำหน้า).
|
Need ถ้าเป็นกริยาแท้แปลว่า
"ต้องการ"
|
และใช้เหมือนกริยาแท้ทั่วๆไป(ต้องมี To
ตามหลัง Need ตลอดไป).
|
Dear
|
Dear ถ้าเป็นกริยาช่วยแปลว่า “ กล้า” ใช้ได้กับทุกบุรุษและทุกพจน์
และเป็น“ ปัจจุบันกาล คำตามหลังไม่มี To.
|
|
Ought to
|
Ought
to แปลว่า “ควรจะ”
เป็นกริยาพิเศษเหมือน is หรือ
do นั่นเอง อาจใช้
should แทนก็ได้ แต่ความหมายอาจจะอ่อนกว่า.
|
Used to
|
Used to แปลว่า “เคย” เป็นกริยาพิเศษหมายความว่า “เคยกระทำอย่างใด อย่างหนึ่งเป็นประจำ แต่บัดนี้ไม่ได้กระทำแล้ว”(กริยาตามหลัง ต้องเป็นกริยาช่อง 1
ตลอดไป และใช้
used to เหมือน
is หรือ do ).
|
จบเรื่อง Verb
|
Conjunction
|
Conjunction (คำสันธาน)
คือคำที่ใช้เชื่อมประโยคต่อประโยค คำต่อคำ
หรือระหว่างกริยาต่อกริยา
Conjunction แบ่งออกเป็น
2 ชนิดคือ
|
1. Conjunction คำเดียว
|
2.
Conjunction คำผสมหรือวลี
|
Conjunction คำเดียวที่พบเห็นบ่อย
และใช้กันแพร่หลายมีดังนี้
and, or, but, because, so, as, for,
whether, until, after, before, if,
though, that, when, beside เช่น
He is sick so he go to
see doctor.
|
Conjunction วลี หรือคำผสมที่พบเห็นบ่อยๆได้แก่คำต่อไปนี้คือ
|
- Either….or
แปลว่า”ไม่อันใดก็อันหนึ่ง” ใช้เลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง ถ้าไปควบประธาน 2 คำจะใช้กริยาเป็นรูปเอกพจน์หรือพหูพจน์นั้นขึ้นอยู่กับประธานตัวหลัง
เช่น Either he or
I am mistaken. ไม่เขาก็ผมเป็นผู้ผิด.
|
- Neither…..or แปลว่า “ไม่ทั้งสอง” ไว้สำหรับปฏิเสธโดยสิ้นเชิง(กริยาถือตามประธานตัวหลัง).เช่น
เช่น Neither you nor
he studies mathematics. ทั้งคุณและเขาไม่ได้เรียนคณิตศาสตร์.
|
-
As well as แปลว่า
"เช่นเดียวกันกับ" (กริยาถือตามประธานตัวหน้า)
เช่น He as well as I is sick
เขาก็เช่นเดียวกันกับผมไม่สบาย.
|
-
Not only………but also
แปลว่า “ ไม่เพียงแต่……..เท่านั้น แต่ยังอีกด้วย” ใช้เน้นน้ำหนักข้อความทั้งสองให้เด่นชัด
(แต่ต้องมีความหมายทางเดียวกัน) (แต่ถ้ามีประธาน 2 ตัวใช้กริยาตามประธานตัวหลัง )
เช่น Malisa is not only beauti
|
จบConjunction
|
Preposition
|
Preposition (คำบุรพบท)
คือคำที่ใช้เชื่อม หรือแสดงความสำพันธ์ระหว่างคำต่อคำ
เช่น นามต่อนาม, กริยากับนาม,
กริยากับสรรพนาม สรรพนามกับนาม,
หรือนามกับสรรพนาม.
|
Preposition ในภาษาอังกฤษแบ่งออกเป็น
2 ชนิดคือ.
|
1. Preposition คำเดียว
[Single Preposition].
|
2. Preposition วลี
[Preposition phrase].
|
Preposition คำเดียวที่พบเห็นบ่อยๆและนิยมใช้กันมากมีอยู่
44 คำคือ in, on,
at, under, to, from, of, off,
since, for, near, around, inside,
outside, beneath, towards, into, till, until,
from…to, with, without, by, up, down,
afte
|
Preposition คำเดียว
|
การใช้ [ in,
at, on] บุรพบทที่ใช้กับเวลามีหลักดังนี้.
|
In: ใช้บอกเวลาที่เป็นชื่อเดือน,
ปี, ฤดูกาล, และส่วนของวัน
เช่น I like to swim in
the morning. ผมชอบว่ายน้ำในเวลาเช้า.
|
At : ใช้เพื่อบอกเวลาเกี่ยวกับชั่วโมง
, noon, night, midnight, midday,
Christmas, Easter เพื่อบอกเวลาเฉพาะเจาะจง
เช่น They want home at three
o’clock, พวกเขากลับบ้านเวลา 15.00 น.
|
On : ใช้เพื่อบอกเวลาที่เป็นวันของสัปดาห์
และวันที่ วันสำคัญทางราชการ
และวันสำคัญทางศาสนา เช่น on Sunday,
On New Year’s Day , On
King’s Birthday. etc.
|
On time
แปลว่า ตรงเวลาพอดี
(ตรงพอดี). เช่น He come on
time. เขามาตรงเวลาพอดี.
|
In time แปลว่า ทันเวลา (ก่อนเวลา, ก่อนกำหนด).
เช่น The train
arrived at the station in time.
รถไฟมาถึงสถานีทันเวลา(มาถึงก่อนเวลา).
|
การใช้ [at,
in] บุรพบทที่ใช้เกี่ยวกับสถานที่มีหลักดังนี้
|
at : ใช้บอกสถานที่ที่ไม่ใหญ่โตนัก ที่จำกัดแน่นอน
เช่น at school, at
the hotel….
|
in
: ใช้บอกสถานที่ที่ใหญ่โตก็ได้เช่น in
Thailand. หรือใช้บอกสถานที่ที่เจาะจงภายในแห่งใดแห่งหนึ่งไม่ว่าใหญ่หรือโตก็ได้
เช่น In the house, in a
country เป็นต้น.
|
การใช้ During, between,
among มีหลักเกณฑ์ดังนี้
|
คำทั้ง 3 แปลว่า “ ระหว่าง “ แต่ใช้ต่างกันดังนี้
|
During: ใช้สำหรับบอกระยะเวลาการกระทำช่วงใดช่วงหนึ่งตามที่ระบุไว้ในประโยค
เช่น
During visiting Thailand, I
had seen the Emerald Buddha
Temple. ระหว่างการมาเที่ยวประเทศไทย
ฉันได้ไปชมวัดพระแก้ว เ
|
Between: ใช้สำหรับครั่นระหว่างของสองอย่าง หรือคนสองคน
เช่น She is
standing between you and me. หล่อนยืนอยู่ระหว่างคุณและผม (เมื่อใช้
between ต้องมี
and ตามเสมอ).
|
Among : ใช้สำหรับครั่นหรือเชื่อมนาม
ที่มีจำนวนตั้งแต่ 3 ขึ้นไป
เช่น The teacher is standing among
us . เป็นต้น
|
การใช้ [ in,
on, by] กับยานพาหนะ
|
in :
ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพปิด กำบัง
เช่น in the bus, in the
plane…
|
on :
ใช้กับยานพาหนะที่มีสภาพเปิดโล่ง แจ้ง ไม่ปกปิดกำบัง เช่น
on a house, on a motor-cycle..
|
By :
ใช้ได้ทั้งปิดและเปิด แต่ต้องไม่มี
Article นำหน้า เช่น
by bus, by train …
|
การใช้ [on,
over, above] มีหลักดังนี้
|
on : ใช้บอกว่าของที่อยู่บนที่ติดอยู่กับอันล่าง.
|
Over
: ใช้บอกว่าของอยู่เหนือหัวพอดี.
|
Above : ใช้บอกว่าของนั้นอยู่ด้านบน(กว้างๆ).
|
|
Preposition วลี
|
Preposition วลี คือบุรพบทตั้งแต่ 2 ตัวขึ้นไปมารวมอยู่ด้วยกัน
และมีความหมายเสมือนเป็นบุรพบทคำเดียว แบ่งออกเป็น 2 ชนิด คือ
|
1. บุรพบทวลีชนิด
2 ตัว [ two words Preposition].
|
2. บุรพบทวลีชนิด
3 ตัว [three words Preposition].
|
บุรพบทชนิด 2 ตัว ได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ
|
according to ตาม
, instead
of แทน , แทนที่
|
because of เพราะว่า,
owing to เนื่องจาก.
|
บุรพบทชนิด 3 ตัวได้แก่บุรพบทต่อไปนี้คือ
|
in order
to : เพื่อที่จะ ,
by means
of
: โดยอาศัย
|
on account of : เนื่องจาก , in spite
of
: ถึงแม้ว่า
|
in front
of : ข้างหน้า ,
in back
of
: ข้างหลัง
|
for the sake of : เพื่อเห็นแก่ , of the
point of
: เกือบจะ
|
on the point of : เกือบจะ ,
in consequence of : เนื่องจากว่า
|
* หมายเหตุ ในเรื่องการใช้บุรพบทนี้
ยังมี กริยาบางตัวที่มีข้อบังคับว่าต้องใช้บุรพบทตัวใดตามหลังอีกด้วย
อย่างเช่น belong to (เป็นของ ) , arrive at (มาถึงสถานที่เล็กๆ),
ask…. for (ขอ), agree with (เห็นด้วย ตกลงด้วย), consis
|
จบเรื่อง preposition
|
Tense
|
Tense คือรูปแบบ(หรือโครงสร้าง)ของกริยา
ที่แสดงให้เราทราบว่า การกระทำหรือเหตุการนั้นๆเกิดขึ้นเมื่อใด ซึ่งเรื่อง tense นี้เป็นเรื่องสำคัญ
ถ้าเราใช้ tense ไม่ถูก
เราก็จะสื่อภาษากับเขาไม่ได้ เพราะในประโยคภาษาอังกฤษนั้นจะอยู่ในรูปของ
tense เสม
|
Tense ในภาษาอังกฤษนี้จะแบ่งออกเป็น
3 tense ใหญ่ๆคือ
|
1. Present
tense ปัจจุบัน
|
2. Past tense
อดีตกาล
|
3. Future
tense อนาคตกาล
|
ในแต่ละ tense ยังแยกย่อยได้
tense ละ 4 คือ
|
1 . Simple tense ธรรมดา(ง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
|
2. Continuous tense กำลังกระทำอยู่(กำลังเกิดอยู่)
|
3. Perfect
tense สมบูรณ์(ทำเรียบร้อยแล้ว).
|
4. Perfect continuous
tense สมบูรณ์กำลังกระทำ(ทำเรียบร้อยแล้วและกำลังดำเนินอยู่ด้วย).
|
โครงสร้างของ
Tense ทั้ง 12 มีดังนี้
|
[1.1] S + Verb 1 + ……(บอกความจริงที่เกิดขึ้นง่ายๆตรงๆไม่ซับซ้อน).
|
[Present]
[1.2] S + is,am,are + Verb 1
ing + …(บอกว่าเดี๋ยวนี้กำลังเกิดอะไรอยู่).
|
[1.3] S + has,have + Verb 3
+ ….(บอกว่าได้ทำมาแล้วจนถึงปัจจุบัน).
|
[1.4] S + has,have + been +
Verb 1 ing + …(บอกว่าได้ทำมาแล้วและกำลังทำต่อไปอีก).
|
[2.1] S + Verb 2 + …..(บอกเรื่องที่เคยเกิดมาแล้วในอดีต).
|
[Past]
[2.2] S + was,were + Verb 1 +…(บอกเรื่องที่กำลังทำอยู่ในอดีต).
|
[2.3] S + had + verb 3 + …(บอกเรื่อที่ทำมาแล้วในอดีตในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
|
[2.4] S + had + been + verb 1
ing + …(บอกเรื่องที่ทำมาแล้วอย่างต่อเนื่องไม่หยุด).
|
[3.1] S + will,shall + verb 1 +….(บอกเรื่องที่จะเกิดขึ้นในอนาคต).
|
[Feature]
[3.2] S + will,shall + be + Verb 1
ing + ….(บอกว่าอนาคตนั้นๆกำลังทำอะไรอยู่).
|
[3.3] S + will,shall + have + Verb
3 +…(บอกเรื่องที่จะเกิดหรือสำเร็จในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง).
|
[3.4] S + will,shall + have +
been + verb 1 ing +.. ..(บอกเรื่องที่จะทำอย่างต่อเนื่องในเวลาใด
- เวลาหนึ่งในอนาคตและจะทำต่อไปเรื่อยข้างหน้า).
|
|
หลักการใช้แต่ละ
tense มีดังนี้
|
[1.1] Present simple tense เช่น
He walks. เขาเดิน,
|
1. ใช้กับเหตุการที่เกิดขึ้นตามความจริงของธรรมชาติ
และคำสุภาษิตคำ พังเพย.
|
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่เป็นความจริงในขณะที่พูด
(ก่อนหรือหลังจะไม่จริงก็ตาม).
|
3. ใช้กับกริยาที่ทำนานไม่ได้
เช่น รัก, เข้าใจ, รู้ เป็นต้น.
|
4. ใช้กับการกระทำที่คิดว่าจะเกหิดขึ้นในอนาคตอันใกล้(จะมีคำวิเศษณ์บอกอนาคตร่วมด้วย).
|
5. ใช้ในการเล่าสรุปเรื่องต่างๆในอดีต
เช่นนิยาย นิทาน.
|
6. ใช้ในประโยคเงื่อนไขในอนาคต
ที่ต้นประโยคจะขึ้นต้นด้วยคำว่า
If (ถ้า),
unless (เว้นเสียแต่ว่า),
as soon as (เมื่อ,ขณะที่),
till (จนกระทั่ง) ,
whenever (เมื่อไรก็ตาม),
while (ขณะที่) เป็นต้น.
|
7. ใช้กับเรื่องที่กระทำอย่างสม่ำเสมอ
และมีคำวิเศษณ์บอกเวลาที่สม่ำเสมอร่วมอยู่ด้วย เช่น always (เสมอๆ),
often (บ่อยๆ), every
day (ทุกๆวัน) เป็นต้น.
|
8. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น
[1.1] ประโยคตามต้องใช้ [1.1] ด้วยเสมอ.
|
|
[1.2] Present continuous tense
เช่น He is walking. เขากำลังเดิน.
|
1. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในขณะที่พูด(ใช้
now ร่วมด้วยก็ได้ โดยใส่ไว้ต้นประโยค, หลังกริยา
หรือสุดประโยคก็ได้).
|
2. ใช้ในเหตุการณ์ที่กำลังกระทำอยู่ในระยะเวลาอันยาวนาน
เช่น ในวันนี้ ,ในปีนี้
.
|
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ผู้พูดมั่นใจว่าจะต้องเกิดขึ้นในอนาคตอันใกล้
เช่น เร็วๆนี้, พรุ่งนี้.
|
*หมายเหตุ กริยาที่ทำนานไม่ได้
เช่น รัก ,เข้าใจ,
รู้, ชอบ จะนำมาแต่งใน
Tense นี้ไม่ได้.
|
|
[1.3]
Present perfect tense เช่น He has walk เขาได้เดินแล้ว.
|
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแล้วในอดีต
และต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน และจะมีคำว่า Since
(ตั้งแต่) และ for (เป็นเวลา) มาใช้ร่วมด้วยเสมอ.
|
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยทำมาแล้วในอดีต
(จะกี่ครั้งก็ได้ หรือจะทำอีกในปัจจุบัน หรือจะทำในอนาคตก็ได้)และจะมีคำว่า
ever (เคย) , never (ไม่เคย)
มาใช้ร่วมด้วย.
|
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่จบลงแล้วแต่ผู้พูดยังประทับใจอยู่
(ถ้าไม่ประทับใจก็ใช้ Tense
|
4. ใช้กับเหตุการที่เพิ่งจบไปแล้วไม่นาน(ไม่ได้ประทับใจอยู่)
ซึ่งจะมีคำเหล่านี้มาใช้ร่วมด้วยเสมอ คือ Just (เพิ่งจะ), already (เรียบร้อยแล้ว),
yet (ยัง), finally (ในที่สุด)
เป็นต้น.
|
[1.4]
Present perfect continuous tense เช่น He has been walking . เขาได้กำลังเดินแล้ว.
|
* มีหลักการใช้เหมือน
[1.3] ทุกประการ เพียงแต่ว่าเน้นว่าจะทำต่อไปในอนาคตด้วย
ซึ่ง [1.3] นั้นไม่เน้นว่าได้กระทำอย่างต่อเนื่องหรือไม่
ส่วน [1.4] นี้เน้นว่ากระทำมาอย่างต่อเนื่องและจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
|
[2.1] Past simple tense เช่น He walked. เขาเดินแล้ว.
|
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นและจบลงแล้วในอดีต
มิได้ต่อเนื่องมาถึงขณะที่พูด
และมักมีคำต่อไปนี้มาร่วมด้วยเสมอในประโยค เช่น Yesterday,
year เป็นต้น.
|
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ทำเป็นประจำในอดีตที่ผ่านมาในครั้งนั้นๆ
ซึ่งต้องมีคำวิเศษณ์บอกความถี่ (เช่น Always, every day ) กับคำวิเศษณ์ บอกเวลา (เช่น yesterday, last
month ) 2 อย่างมาร่วมอยู่ด้วยเสมอ.
|
3. ใช้กับเหตุการณ์ที่ได้เคยเกิดขึ้นมาแล้วในอดีต
แต่ปัจจุบันไม่ได้เกิดอยู่ หรือไม่ได้เป็นดั่งในอดีตนั้นแล้ว
ซึ่งจะมีคำว่า ago นี้ร่วมอยู่ด้วย.
|
4. ใช้ในประโยคที่คล้อยตามที่เป็น
[2.1] ประโยคคล้อยตามก็ต้องเป็น [2.1] ด้วย.
|
[2.2]
Past continuous tense เช่น
He was walking . เขากำลังเดินแล้ว
|
1. ใช้กับเหตุการณ์
2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกัน {
2.2 นี้ไม่นิยมใช้ตามลำพัง - ถ้าเกิดก่อนใช้
2.2 - ถ้าเกิดทีหลังใช้ 2.1}.
|
2. ใช้กับเหตุการณ์ที่ไดกระทำติดต่อกันตลอดเวลาที่ได้ระบุไว้ในประโยค
ซึ่งจะมีคำบอกเวลาร่วมอยู่ด้วยในประโยค เช่น all day yesterday etc.
|
3. ใช้กับเหตุการณ์
2 อย่างที่กำลังทำในเวลาเดียวกัน(ใช้เฉพาะกริยาที่ทำได้นานเท่านั้น
หากเป็นกริยาที่ทำนานไม่ได้ก็ใช้หลักข้อ 1 ) ถ้าแต่งด้วย 2.1 กับ 2.2
จะดูจืดชืดเช่น He was
cleaning the house while I was cooking
breakfast.
|
[2.3]
Past perfect tense เช่น
He had walk. เขาได้เดินแล้ว.
|
1. ใช้กับเหตุการณ์
2 อย่างที่เกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอดีต มีหลักการใช้ดังนี้.
|
เกิดก่อนใช้ 2.3 เกิดทีหลังใช้ 2.1.
|
2. ใช้กับเหตุการณ์หรือการกระทำอันเดียวก็ได้ในอดีต
แต่ต้องระบุชั่วโมงและวันให้แน่ชัดไว้ในทุกประโยคด้วยทุกครั้ง เช่น She had breakfast at
eight o’ clock yesterday.
|
[2.4]
past perfect continuous tense เช่น He had been walking.
|
มีหลักการใช้เหมือนกับ 2.3 ทุกกรณี
เพียงแต่ tense นี้
ต้องการย้ำถึงความต่อเนื่องของการกระทำที่ 1 ว่าได้กระทำต่อเนื่องไปจนถึงการกระทำที่ 2 โดยมิได้หยุด เช่น When
we arrive at the meeting , the
lecturer had been speaking for
|
[3.1]
Future simple tense เช่น He will walk. เขาจะเดิน.
|
ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ซึ่งจะมีคำว่า
tomorrow, to night, next week, next
month เป็นต้น มาร่วมอยู่ด้วย.
|
*
Shall ใช้กับ
I we.
|
Will ใช้กับบุรุษที่ 2 และนามทั่วๆไป.
|
Will, shall จะใช้สลับกันในกรณีที่จะให้คำมั่นสัญญา,
ข่มขู่บังคับ, ตกลงใจแน่วแน่.
|
Will, shall ใช้กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือจงใจก็ได้.
|
Be going to (จะ) ใช้กับความจงใจของมนุษย์เท่านั้น
ห้ามใช้กับเหตุการณ์ของธรรมชาติและนิยมใช้ใน ประโยคเงื่อนไข.
|
[3.2]
Future continuous tense เช่น He will be
walking. เขากำลังจะเดิน.
|
1. ใช้ในการบอกกล่าวว่าในอนาคตนั้นกำลังทำอะไรอยู่
(ต้องกำหนดเวลาแน่นอนด้วยเสมอ).
|
2. ใช้กับเหตุการณ์
2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีกลักการใช้ดังนี้.
|
- เกิดก่อนใช้
3.2 S + will be,
shall be + Verb 1 ing.
|
- เกิดทีหลังใช้
1.1 S + Verb 1 .
|
[3.3]
Future prefect tens เช่น He will walked. เขาจะได้เดินแล้ว.
|
1. ใช้กับเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นหรือสำเร็จลงในเวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคต
โดยจะมีคำว่า by นำหน้ากลุ่มคำที่บอกเวลาด้วย
เช่น by tomorrow ,
by next week เป็นต้น.
|
2. ใช้กับเหตุการณ์ 2 อย่างที่จะเกิดขึ้นไม่พร้อมกันในอนาคต มีหลักดังนี้.
|
- เกิดก่อนใช้
3.3 S + will, shall +
have + Verb 3.
|
- เกิดที่หลังใช้
1.1 S + Verb 1 .
|
[3.4]
Future prefect continuous tense เช่น He
will have been walking. เขาจะได้กำลังเดินแล้ว.
|
ใช้เหมือน 3.3 ต่างกันเพียงแต่ว่า
3.4 นี้เน้นถึงการกระทำที่ 1 ได้ทำต่อเนื่องมาจนถึงการกระทำที่ 2 และจะกระทำต่อไปในอนาคตอีกด้วย.
|
* Tense นี้ไม่ค่อยนิยมใช้บ่อยนัก
โดยเฉพาะกริยาที่ทำนานไม่ได้ อย่านำมาแต่งใน
Tense นี้เด็ดขาด.
|
จบเรื่อง Tense
|
None – finite Verb
|
None – finite Verb คือคำกริยาที่มิได้ทำหน้าที่เป็นกริยาจริง
แม้จะมีรูปมาจากกริยาก็ตาม แต่กลับทำหน้าที่เป็นนามบ้าง
, เป็นคุณศัพท์บ้าง, เป็นกริยาวิเศษณ์บ้าง
,หรือเป็นอื่นใดก็ได้ อันไม่ใช่กริยาแท้.
|
None – finite Verb แบ่งออกเป็น
3 ชนิด คือ.
|
1. Infinitive [ to
Verb 1].
|
2. Gerund
[Verb + ing]
|
3. Participle [ Verb
+ ing , Verb 3]
|
· Infinitive คือคำกริยาช่องที่ 1 ที่มี To นำหน้า ทำหน้าที่ได้
6 อย่างคือ
|
1. เป็นประธานของกริยาก็ได้
เช่น To walk
in the morning is good for health.
|
2. เป็นกรรมของกริยาก็ได้
เช่น He like to
speak English with his friend.
|
3. เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาก็ได้
เช่น She has to go
now.
|
4. เป็นคุณศัพท์ขยายนามก็ได้(แต่ต้องเรียงไว้หลังนาม)
|
5. เมื่อเรียงตามหลังอกรรมกริยา
เป็นกริยาวิเศษณ์ของอกรรมกริยาตัวนั้น.
|
6. เมื่อเรียงตามหลังกริยาวิเศษณ์
หรือคุณศัพท์ ย่อมเป็นกริยาวิเศษณ์ขยายคำที่อยู่หน้ามัน
|
* อนึ่ง ยังมี
Infinitive บางตัวที่ไม่ต้องใช้ To นำหน้า เรียกว่า Infinitive with out to ในกรณีที่นำมาใช้ตามหลัง หรือขยายนามที่ตามหลังคำกริยาพิเศษต่อไปนี้
do, does, did , will,
would, shall, should, can,
could, may, might, mus
|
· Gerund คือคำกริยาที่เติม
ing แล้วนำมาใช้อย่างนาม(กริยานาม) Verbal
noun เช่น Walking, studying
etc. ทำหน้าที่ได้ 5 อย่าง คือ
|
1. ใช้เป็นประธานของกริยาในประโยคก็ได้ เช่น
Swimming is a
good exercise.
|
2. ใช้เป็นกรรมของสกรรมกริยาก็ได้ เช่น She remembered seeing
me.
|
3. ใช้เป็นกรรมของบุรพบทได้ เช่น We are found of learning
English.
|
4. ใช้ทำหน้าที่เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาได้
เช่น His duty is cleaning.
|
4. ใช้ทำหน้าที่เป็นคำนามผสม(หรือคุณศัพท์)
และนิยมใช้ Hyphen (-) มาคั่นไว้เสมอ เช่น Reading-room,
Swimming pool …etc.
|
* อนึ่งโดยปรกติทั่วๆไปแล้ว
Gerund และ Infinitive สามารถใช้แทนกันได้
ในทุกกรณีและมีความหมายเหมือนกัน ทั้งนี้สุดแล้วแต่ผู้ใช้
แต่ยังมีกริยาบางตัวที่มี Gerund และ Infinitive มาเป็นกรรมแล้วจะมีความหมายต่างกันมาก
ซึ่งเราควรศึกษากันในภายหลัง.
|
|
·Participle คือคำกริยาที่เติม
ing บ้าง หรือเป็นรูปกริยาช่อง
3 บ้าง แล้วนำมาใช้ทำหน้าที่อย่างอื่น
มิได้ใช้เป็นกริยาจริง แบ่งออกเป็น
3 ชนิด คือ.
|
1. Present Participle คือกริยาช่องที่ 1 เติม
ing แล้วนำมาใช้เป็นครึ่งกริยาครึ่งคุณศัพท์ ได้แก่คำว่า
Going, walking, eating, sleeping, coming,
etc. ซึ่งมีวิธีใช้ดังนี้.
|
1. เรียงตามหลัง
Verb to be ทำให้ประโยคนั้นเป็น
Continuous tense.
|
2. เรียงไว้หน้านาม เป็นคุณศัพท์ของนามนั้น.
|
3. เรียงตามหลังกริยา
เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยา(มีสำเนียงแปลว่า”น่า”).
|
4. เรียงตามหลังกรรมเป็นคำขยายกรรมนั้น.
|
2. Past Participle คือกริยาช่องที่ 3 ซึ่งอาจมีรูปมทาจากการเติม
ed. ก็ได้ หรือมีรูปมาจาก การผันก็ได้
ได้แก่กริยาต่อไปนี้ Walked, slept, gone
. ..etc. มีวิธีใช้ดังนี้.
|
1. เรียงไว้หลัง
Verb to have ทำให้ประโยคนั้นเป็น
Perfect tense.
|
2. เรียงตามหลัง Verb
to be ทำให้ประโยคนั้นเป็นกรรมวาจก(Passive voice)ตลอดไป.
|
3. เรียงไว้หน้านามเป็นคุณศัพท์ของนามนั้น.
|
4. ใช้เป็นส่วนสมบูรณ์ของกริยาได้.
|
5. ใช้เรียงตามหลังนามก็ได้
แต่ต้องมีบุรพบทวลีมาขยายเสมอ.
|
3. Perfect Participle คือ
“ Having + Verb 3” เช่น
Having finish …+ Past Simple Tense เป็นต้น ซึ่ง Perfect
Participle นี้ ทำหน้าที่เป็นคุณศัพท์ของประธานในประโยคหลัง
และต้องมีเครื่องหมาย (,) ด้วย
ซึ่งมีหลักการใช้มากมายซึ่
|
จบเรื่อง Non-finite Verb
|
Question tags
|
Question tags คือการตั้งคำถามตามประโยคบอกเล่าหรือตามหลังประโยคปฏิเสธ
.
|
หลักการสร้างประโยค
Question tags
|
1. ใส่เครื่องหมาย
Comma (,) ครั่นระหว่างประโยคหน้าและประโยค
Question tags
|
2. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็นประโยคบอกเล่า
ประโยค Question tags ที่ตามหลังต้องเป็นคำถามปฏิเสธ.
|
3. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็นประโยคปฏิเสธ
ประโยค Question tagsที่ตามหลังต้องเป็นคำถามธรรมดา
|
4. ถ้าประโยคท่อนหน้ามีกริยาช่วย
24 ตัว ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ เมื่อทำเป็นประโยค
Question tagsให้ใช้กริยาช่วยตัวนั้นมารทำเป็นประโยคคำถาม.
|
5. ถ้าประโยคท่อนหน้าไม่มีกริยาช่วย
24 ตัว ตัวใดตัวหนึ่งปรากฏอยู่ เมื่อทำเป็นประโยค Question
tagsต่อท้ายให้ใช้ Verb to do มาช่วย.
|
6. ถ้าประโยคท่อนหน้าเป็น Question
tags อะไร ประโยค Question tags ที่ตามหลังก็ต้องใช้ Question tags ในระดับเดียวกันนั้น.
|
7. ประโยค Question
tags ที่ถามเป็นปฏิเสธนั้น ระหว่างกริยาช่วย
24 ตัวกับคำว่า not ต้องใช้รูปย่อเสมอ
คือ
do not
= don’t
|
does not = doesn’t
|
will not = won’t
|
shall not = shan’t
|
are not =
aren’t etc.
|
*ข้อสังเกต
need, dear เมื่อนำมาใช้เป็นกริยาแท้แล้ว
จะเอามาตั้งเป็น Question tagsไม่ได้
ต้องใช้ Verb to do มาแทน.
|
*อนึ่ง
กริยา Used to เมื่อทำเป็น
Question tags ไม่นิยมใช้
used ขึ้นต้นประโยคของมัน แต่นิยมใช้ did มาแทนทุกครั้ง
(เช่นเดียวกับ Verb to have ถ้าแปลว่ารับประธาน,
ได้รับ โดยมิได้แปลว่า มี).
|
การใช้ Question
tags ตามหลังประโยคคำสั่ง
|
ถ้าประโยคบอกเล่านั้นเป็นประโยคคำสั่ง ,คำเตือน,ขอร้อง,เชื้อเชิญ เพื่อให้ประโยนั้นสุภาพยิ่งขึ้น
ต้องใช้รูปเดียวคือ.
|
………………………………,
Will you ?
|
|
|
การใช้ Question
tags ตามหลังสำนวน Let’s, Let me
|
ประโยค Question tags ยังใช้ตามหลังสำนวน
Let’s , Let me ที่มีสำนวนการพูดอันหนึ่งสำหรับใช้ชักชวนได้
แต่ต้องใช้รูปเดียวคือ
|
………………………………,
Shall we ?
|
|
ถ้าประโยคข้างหน้าขึ้นต้นด้วย Let
me ประโยค Question tags ต้องใช้รูปเดียวคือ
|
……………………………,
Will you ?
|
การตอบประโยคคำถามที่เป็น Question tags
|
ให้ตอบด้วย Yes, หรือ
No เท่านั้นและตอบได้ 2 อย่างคือ
|
1. ตอบแบบสั้น
[Short Answer].
|
2. ตอบแบบยาว
[long Answer].
|
ตัวอย่าง
: แบบสั้น Yes, I
am , No, he isn’t.
|
:
แบบยาว Yes, I am
a student. , No he isn’t here.
|
จบเรื่อง Question tags
|
prefixes and suffixes
|
prefixes แปลว่า อุปสรรค หมายถึงคำที่ใช้เติมเข้าข้างหน้าคำอื่นแล้วทำให้คำเดิมนั้นมีความหมายผิดไปจากเดิม
|
prefixes
ที่พบเห็นบ่อยมีอยู่ 10 คำ
คือ
|
(]) Un (ไม่)
ใช้เติมหน้าคุณศัพท์ (adj.) หรือกริยาวิเศษณ์(adv.)
แล้วทำให้คำนั้นมีความหมายตรงข้าม เช่น…
|
happy (มีความสุข)
® unhappy (ไม่มีความสุข)
|
wise (ฉลาด)
®
unwise (ไม่ฉลาด)
|
suitable (เหมาะสม)
®
unsuitable (ไม่เหมาะสม)
|
(2) Im (ไม่)
ใช้เติมหน้าคำคุณศัพท์ ( adj.) เท่านั้นแล้วทำให้มีความหมายตรงข้าม เช่น…
|
possible (เป็นไปได้)
®
impossible (เป็นไปไม่ได้)
|
proper (ถูกต้อง)
®
improper (ไม่ถูกต้อง)
|
pure (บริสุทธิ์)
® impure (ไม่บริสุทธิ์)
|
(3) In (ไม่) ใช้เติมหน้าคุณศัพท์ (adj.) เท่านั้น
แล้วทำให้มีความหมายตรงข้าม
เช่น…
|
direct (ตรง)
® indirect (ไม่ตรง)
|
complete (สมบูรณ์)
®
incomplete (ไม่สมบูรณ์)
|
expensive (แพง)
® inexpensive (ไม่แพง)
|
(4) Re (อีก) ใช้เติมหน้าคำกริยา หรือคำนามที่มาจากกริยาเท่านั้น แล้วทำให้มีความหมายว่า “ทำอีก” เช่น
…
. write (เขียน)
®
rewrite (เขียนใหม่)
|
speak (พูด)
®
respeak (พูดอีก)
|
birth (เกิด)
®
rebirth (เกิดอีก)
|
(5) Dis (ไม่)
ใช้เติมหน้ากริยา หรือเติมหน้าคุณศัพท์
แล้วทำให้มีความหมายตรงกันข้าม เช่น…
|
like (ชอบ)
®
dislike (ไม่ชอบ)
|
appear (ปรากฏ)
®
disappear(ไม่ปรากฏ)
|
agree (เห็นด้วย)
®
disagree (ไม่เห็นด้วย)
|
use
(ใช้)
®
disuse (เลิกใช้)
|
(6) Mis (ผิด) ใช้เติมหน้าคำกริยาเท่านั้น
แล้วทำให้มีความหมายว่า”กระทำผิด”
เช่น …
|
understand (เข้าใจ) ®
misunderstand(เข้าใจผิด)
|
spell (สะกดตัว) ®
misspell (สะกดตัวผิด)
|
call (เรียก)
® miscall (เรียกผิด)
|
(7) per (ก่อน) ใช้เติมหน้าคำนาม หรือกริยาให้มีความหมายว่า”ก่อน”หรือ”ทำก่อน”
เช่น…
|
pay (จ่าย)
® prepay (จ่ายล่วงหน้า)
|
history (ประวัติศาสตร์)
®
prehistory (ก่อนประวัติศาสตร์)
|
(8) Tri (สาม)
ใช้เติมหน้าคำนาม แล้วทำให้มีความหมายว่า”สาม” เช่น…
|
angle (เหลี่ยม)
®
triangle (สามเหลี่ยม)
|
cycle (จักรยาน)
®
tricycle (รถสามล้อ)
|
(9) Bi (สอง)
ใช้เติมหน้าคำนาม แล้วทำให้มีความหมายว่า”สอง” เช่น…
|
cycle (จักรยาน)
® bicycle (จักรยานสองล้อ)
|
polar (ขั้วโลก)
® bipolar (มีสองขั้วโลก)
|
sexual (เพศ)
® bisexual
(มีสองเพศ)
|
(10) En ใช้เติมหน้าคำนาม
หรือคุณศัพท์ให้คำนั้นกลับเป็นกริยา เช่น…
|
camp (ค่ายพัก)
®
encamp (ตั้งค่าย)
|
sure (แน่ใจ)
®
ensure รับประกัน)
|
large (ใหญ่)
®
enlarge (ขยายให้ใหญ่)
|
Suffix แปลว่า ปัจจัยสำหรับปรุงแต่งคำอื่นให้เป็นนามบ้าง
เป็นกริยาบ้าง แล้วมีความหมายเปลี่ยนไป
(โดยการเติมข้างหลังคำต่างๆ) ที่พบเห็นบ่อยๆมีอยู่
8 ตัวคือ.
|
1. er (ผู้)
ใช้เติมข้างหลังกริยา หรือคำนาม ให้หมายถึงบุคคลหรือผู้กระทำ
เช่น…
|
teach (สอน)
® teacher (ผู้สอน,ครู)
|
run (วิ่ง)
® runner (ผู้วิ่ง)
|
speak (พูด)
® speaker (ผู้พูด)
|
2. or (ผู้)
ใช้สำหรับเติมข้างหลังกริยาอย่างเดียว เช่น…
|
act (กระทำ)
® actor (ผู้แสดง)
|
govern (ปกครอง)
® governor (ผู้ปกครอง,ผู้ว่า)
|
direct (ควบคุม)
® director(ผู้อำนวยการ)
|
3. en (ทำด้วย) ใช้เติมหลังคำนามให้กลายเป็นกริยา
เช่น….
|
gold (ทอง)
® golden (ทำด้วยทอง)
|
wood (ไม้)
® wooden (ทำด้วยไม้)
|
light (แสงสว่าง
® lighten (ทำให้มีแสงสว่าง)
|
4. ly (อย่าง)
ใช้เติมหลังคุณศัพท์ ให้กลายเป็นกริยาวิเศษณ์
เช่น…
|
slow (ช้า)
® slowly (อย่างช้า)
|
quick (เร็ว)
® quickly (อย่างเร็ว)
|
happy (มีความสุข)
® happily (อย่างมีความสุข)
|
5 ful (มี) ใช้เติมหลังนามบ้าง
กริยาบ้าง ให้กลายเป็นคุณศัพท์ เช่น….
|
beauty (ความสวย)
® beautiful(มีความสวย)
|
use (ใช้)
® useful (มีประโยชน์)
|
wonder (สงสัย)
® wonderful (มีความประหลาดใจ)
|
6. less (ปราศจาก ไม่มี)
ใช้เติมหลังนาม ให้กลายเป็นคุณศัพท์ เช่น…
|
job (งาน)
® jobless (ไม่มีงาน)
|
live (ชีวิต)
® lifeless (ไม่มีชีวิต)
|
could (เมฆ)
® coldness(ปราศจากเมฆ)
|
7. ness (ความ) ใช้เติมหลังคุณศัพท์
ให้เป็นคำนาม เช่น…
|
happy (มีความสุข)
® happiness (ความสุข)
|
light (เบา)
® lightness (ความเบา)
|
soft (นุ่ม)
®
softness (ความนุ่ม)
|
8. y (มี) ใช้เติมหลังคำนาม ให้เป็นคุณศัพท์ เช่น…
|
sun (ดวงอาทิตย์)
® sunny (มีแสงแดด)
|
stone (หิน)
® stony (มีหินมาก)
|
storm (พายุ) ®
stormy (มีพายุมาก)
|
|
จบ prefixes an suffixes
|
วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555
English Grammar: WORDS (คำ)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น