วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

English Grammar: Tenses (หลักการใช้ 2)

Tenses (หลักการใช้ 2)


The simple Tenses



1)
Present Simple



2)
Past Simple




3)
Future Simple









The Continuous (Progressive) Tenses

1)
Present Continuous



2)
Past Continuous (Progressive)


3)
Future Continuous (Progressive)








The Perfect Tenses



1)
Present Perfect



2)
Past Perfect




3)
Future Perfect









The Perfect Continuous Tenses

1)
Present Perfect Continuous


2)
Past Perfect Continuous



3)
Future Perfect Contunuous




















Present Simple Tense









รูปกริยา Subject + v(s,es).









การใช้




1) ใช้ present simple tense กับความจริงที่เป็นกฏตายตัว ( general truth)







1) It's cold in winter.




     อากาศหนาวในฤดูหนาว










2) The earth moves round the sun.



     โลกโคจรรอบดวงอาทิตย์










3) The sun rises in the east.



     ดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก









4) Birds fly.





     นกบิน











5) Action speak louder than words.



     การกระทำดังกว่าคำพูด(=ทำดีกว่าพูด)








2) ใช้ present simple กับการกระทำซึ่งเป็นประจำในปัจจุบัน ( repeated or habitual facts )







1) He says helo every time he sees me.


     เขาทักฉันทุกครั้งที่พบกัน










2) He gets up early everyday.



     เขาตื่นแต่เช้าทุกวัน










3) He comes to her place several times a week.

     เขามาหาหล่อนที่บ้านสัปดาห์ละหลายครั้ง









4) Ladda usually goes shopping on Sunday.


     ลัดดากจะไปซื้อของในวันอาทิตย์









5) I sometimes go to the movies with her.


     บางครั้งผมก็ไปดูหนังกับหล่อน








เหตุการณ์ หรือการกระทำที่เป็นประจำ มักจะมีคำหรือข้อความประโยค (แสดงความบ่อย หรือความเป็นประจำ) ต่อไปนี้

always

every month


sometimes

every year


often

once a week


frequently

twice amonth


usually

every other day


naturally

in the morning


generally

on Sundays


rarely

on week days


seldom

when (ever) he sees me

habitually

when (ever) he comes here

every day

whenever he can


every week

whenever you want













3) ใช้ present simple กับสิ่งที่กำหนดแน่นอนแล้วว่าจะกระทำในอนาคต







1.I leave by the 6.20 train this evening.


ผม(ตกลงใจ)จะออกเดินทางโดยขบวนรถไฟ 18.20 น. เย็นวันนี้








2.He sets sail tomorrow and comes back next week.

เขา(ตกลงใจ)จะออกเรือพรุ่งนี้ และจะกลับ(แน่นอน) ในสัปดาห์หน้า







3.We attack at dawn.




เรา(ตัดสินใจ)จะเข้าโจมตีเวลาเช้าตรู่








4) อาจใช้ present simple ในการสรุปเรื่องนิยาย หรือละคร






Bassanio wants to go to Belmont to woo Portia. He asks Antonio to lend him money. Antonio says that he hasn't any at the moment until his ships come to port.
บัสสานิโอต้องการจะไปเบลมองค์เพื่อเกี้ยวพาราศีนางปอร์เซียเขาขอยืมเงินอันโตนิโอ อันโตนิโอบอกว่า ขณะนี้เขาไม่มีเงินเลย จนกว่าเรือจะเข้าเทียบท่าแล้ว(เขาจึงจะมี)

















Past Simple Tense









Subject + verb2.




I came, he came, she came, it came, they came

การใช้




1.ใช้ past simple กับการกระทำซึ่งเกิดขึ้นและจบลงไปแล้วในอดีต

ซึ่งมักจะมี คำแสดงอดีต รวมอยู่ด้วยเสมอ เช่น


yesterday, ago, in 1970, last week, during the war, last mouth,once upon a time,last year
1. He arrived at four o'clock yesterday morning.

เขามาถึงตอนตีสี่เช้าวานนี้




2. I lived in Korat for three years.


ผมอยู่โคราชเป็นเวลา 3 ปี (เคยอยู่ที่นั่น 3 ปี ปัจจุบันนี้มิได้อยู่ที่นั้น)

3. She went to the movies last night.


เมื่อคืนนี้หล่อนไปดูหนัง




เหตุการณืหลายเหตุการณ์ที่เกิดติดต่อกันในอดีต ถ้าประสงค์จะพูดถึงเหตุการณ์เหล่านั้นโดยไม่ประสงค์จะแสดงความเกี่ยว พันกันก็ใช้ tense นี้ได้ตลอด เช่น
4. She drove into the car-park, got out of the car, closed all the windows.locked the doors, and walked towards the cinema.
หล่อนขับไปยังที่จอดรถ ลงจากรถ ปิดหน้าต่างทุกบาน ใส่กุญแจประตู แล้วก็เดินไปยังโรงหนัง






2. ใช้ past simple กับการกระทำซึ่งเกิดขึ้นเป็นประจำในอดีต (ปัจจุบันไม่มีการกระทำนั้นแล้ว)
ซึ่งมักจะมี คำแสดงอดีต และ คำแสดงความบ่อยหรือความเป็นประจำ รวมอยู่ด้วย เช่น
1. He walked to school every day last year.

ปีกลายนี้เขาเดินไปโรงเรียนทุกวัน



(คำแสดงความบ่อย = every day, คำแสดงอดีต = last year )

2. He came to her place several times a week before he went to England.
เขามาบ้านหล่อนสัปดาห์ละหลายครั้งก่อนที่เขาจะไปอังกฤษ

(คำแสดงความบ่อย = several times a week, คำแสดงอดีต = before he went to England)
3. When I was young I used to get up early in the morning.
เมื่อผมยังเล็ก ผมเคยตื่นแต่เช้า



4. While her husband was in the Army , she wrote to him twice a week.
ขณะที่สามีของหล่อนประจำการอยู่ในกองทัพ (บก) หล่อนเคยเขียนจดหมายถึงเขาสัปดาห์ละ 2 ครั้ง
5. In olden times men were more chivalrous than they are now.
สมัยก่อนผู้ชายกล้าหาญ, สุภาพและซึ่งสัตย์กว่าสมัยนี้


(chivalrous = คุณลักษณะของพวกอัศวินสมัยโบราณ)


















Future Simple tense









รูปกริยา subject + will ( หรือ shall) + verb1.











ในแทบทุกกรณี (โดยเฉพาะในภาษาอังกฤษแบบอเมริกัน) * will ใช้กับประธานทุกคำรวมทั้ง I และ We
ในประโยคสนทนาไม่มีปัญหาในการใช้ shall หรือ will เนื่องจากทั้ง shall และ will ต่างก็ลดเสียงเป็น 'll เหมือนกัน












We'll be back.
















They'll go home.










การใช้




ใช้กับการกระทำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต



ซึ่งปกติจะมีคำแสงนาคต กำกับอยู่ด้วย เช่น


soon, shortly, tomorrow, tonight, next week, next month, next year, in a few minutes, a month from now เช่น












They will leave soon.















They will leave tonight.















They will leave tomorrow.









ข้อสังเกตทั่วไป




1. shall กับ will




คำสั่งสองนี้มีความหมายได้ 3 อย่าง คือ















1.แสดงความสมัครใจ (volition)















2.แสดงความจำใจ(obligation)















3.แสดงความเป็นอนาคต(futurity)



ความหมายทั้งสามนี้ แม้จะรู้ว่ามันมีอยู่ แต่เราไม่สามารถชี้ให้เห็นถึงข้อแตกต่างอย่างชัดเจนได้ เป็นค้ว่าเมื่อใช้แสดงอนาคตนั้นก็แสดงความจงใปด้วย ในตัว เป็นต้น


















2.'Pure' Future




โดยเหตุที่ความหมายของ will(shall) เป็นได้หลายกรณีดังกล่าวเมื่อใช้ในความหมายที่แสดงอนาคตอย่างแท้จริง จึงนิยมเรียกชื่อเสียใหม่ 'Pure' Future เช่น
I shall be twenty-nine tomorrow.


พรุ่งนี้ผมจะมีอายุ(ครบ) 29 ปี



ในกรณีที่ประโยคเป็น 'Pure' Future นั้น โดยปกติใช้ I shall, we shall เสมอ คำอื่น ๆใช้ will ทั้งหมด คือเป็นไปตามกฎโดยเคร่งครัด






3.ในประเทศอังกฤษ (ซึ่งเรียกว่า England ไม่ใช่รวมทั้งเกาะซึ่งเรียกว่า 1Britain) หรืจะว่าตามจริงก็ต้องในนครลอนดอน รูปคำถามของ I และ We มักเป็น Shall I? หรือ we? เสมอ ยกเว้นในกรณีต่อไปนี้
"You'll never pass the examination." คุณจะสอบไม่ได้แน่

"Won't I?"




ทำไมหละ( = ทำไมถึงจะสอบไม่ได้ล่ะ ,ทำไมถึงว่ายังงั้นล่ะ มีเหตุผลอะไร)






4.Shall I? Shall we?




ข้อความนี้มีความหมายเป็นเชิงขออนุญาต ไม่มีความหมายเป็นคำถามเต็มที่ เช่น
Shall I open the window?



ผมเปิดหน้าต่างได้ไหมครับ









5.Will you?




มีความหมายเป็นเชิงว่า คุณะกรุณา... ได้ไหม (= Are you willing to.. หรือ Would you like to ...) เช่น
Will you help me carry this bag?


คุณจะช่วยกรุณาถือกระเป๋านี้ได้ไหม









6.เมื่อประธานมีหลายตัวแม้จะมี I รวมอยู่ด้วยก็ใช้ will


You and I will both be promoted.


คุณและผมทั้งสองคนจะได้เลื่อนขั้น












































































Present Continuous









Present Continuous





รูปกริยา Subject + is(am,are) + (verb+ing).











การใช้




1.ใช้ present continuous เมื่อการกระทำนั้นกำลังดำเนินอยู่ต่อหน้า(ในขณะที่พูดประโยคนั้น)
1.The sun is shining.



ดวงอาทิตย์กำลังส่องแสง




2.The bees are humming.



ฝูงผึ้งกำลังส่งเสียงหึ่ง




3.What are you doing?



คุณกำลังทำอะไร




ในกรณีที่ผู้พูดต้องการ เน้นคำว่า กำลัง ให้หนักแน่นยิ่งจึ้น นิยมเติมคำ just ลงข้างหน้า(just ในกรณีเช่นนี้ไม่มีคำแปลในภาษาไทย)เช่น
4.The children are just having breakfast.


พวกเด็ก ๆ กำลังรับประทานอาหารเช้ากันอยู่








2.ใช้ present continuous ในเหตุการ์ที่ดำเนินอยู่เป็นประจำในขณะที่พูด
นี่เป็นข้อยกเว้นจากหลักท่วไปที่ว่า ใช้ present simple กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นประจำ เช่น
1.My son works hard this term.


เทอมนี้ ลูกชายของผมเรียนหนังสืออย่างขะมักเขม้น


2.He tries his best now.



ขณะนี้เขา(ใช้ความ)พยายามอย่างเต็มที่ (อย่างเตํมความสามารถ)

ประโยคทั้งสองนี้ใช้ตามหลักทั่วไป ซึ่งจะพบว่าเป็นประโยคเนือย ๆ ไม่กระฉับกระแฉง ประโยคดังกล่าวจะมีความหมายดียิ่งขึ้นไปอีก ถ้าใช้ present continuous คือ
1. My son is working hard this term.


2. He is trying his best now.









3.ใช้ present continuous แสดงเหตุการณ์ในอนาคต ซึ่งคาดว่าจะต้องเป็นเช่นนั้นแน่นอน
การใช้ present coutinuous ในความหมายที่เป็นอนาคตนี้ ปกติเขาใช้กับกริาที่มีการเคลื่อนที่(verbs of movement) แต่จะใช้ กับกริยาอื่นบ้างก็ได้
1.We are going to Paris on Sunday.


วันอาทิตย์นี้เราจะไปนครปารีส



2.Dang is coming here next week and is staying here until May.
แดงจะมาที่นี่ในสัปดาห์หน้า และเขาจะอยู่ที่นี่จนถึงเดือนพฤษภาคม

3.What are you doing next Sunday?


วันอาทิตย์หน้าคุณจะทำอย่างไร









กริยาที่ไม่ใช้ใน Continuous Tenses


hear
ได้ยิน
love
จำได้


see
เห็น
hate
เกลียด


feel
รู้สึก
know
รู้


smell
ได้กลิ่น
understand
เข้าใจ


taste
ได้รส,รู้รส
believe
เชื่อว่า


หมายเหตุ ฯลฯ










กริยาที่ไม่ใช่ใน continuous ได้แก่ กริยาแสดงการรับรู้ (verbs of perception) แสดงภาวะของจิตใจ(state of mind) ความรู้สึก(feeling) หรือแสดงสัมพันธภาพ (relationship) เช่น






เมื่อต้องการจะบอกว่า กำลังมีอาการเช่นนี้อยู่ คงใช้เพียง present simple เท่านั้น เช่น
1. I don't see anything here.(ไม่ใช่ I am not seeing....)

ผมไม่เห็นอะไรที่นี้เลย




2. I see what you mean. (ไม่ใช่ I am seeing...)

ผมเข้าใจว่าคุณหมายความถึงอะไร



3.Do you hear the noise? (ไม่ใช่ Are you hearing...)

ผมได้ยินเสียงอะไรไหม





Past Continuous










รูปกริยา subject+ was(were)+(verb+ing)











การใช้










โดยปกติ tense นี้ จะไม่ใช้ในประโยคที่มีกริยาตัวเดียว แต่จะใช้ในประโยคที่มีกริยา 2 ตัวคู่กัน คือไมใช้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์เดียว แต่ใช้คู่กับ เหตุการณ์อีกเหตุการณ์หนึ่งเสมอ






1.ใช้ past continuous ได้ลอย ๆ เพียงเหตุการณ์เดียวได้เฉพาะในกรณีที่มีคำบอกช่วงเวลากำกับไว้ในประโยค คือ บอกว่าเหตุการณ์นั้น ๆ กำลังดำเนิน อยู่ในอดีตตลอดเวลาที่กำหนดนั้น เช่น






He was writing all day yeaterday.








He was writing all afternoon yesterday.







He was writing all evening long.








2.ใช้ past continuous กับเหตุการณ์ 2 อย่าง ซึ่งกำลังดำเนินอยู่พร้อม ๆ กันในอดีต(คำเชื่อมประโยคมักจะได้แก่ while)






1.While one of the two thieves was working on the safe,the other was keeping watch for policemen.






ขณะที่ขโมยคนหนึ่ง(ในสองคน)กำลังจัดการกับตู้เซฟอยู่นั้น อีกคนหนึ่งก็(กำลัง)คอยดูตำรวจ






2.He was working in Bloomingon while I was working in Bangkok.






เขากำลังทำงานอยู่ในเมืองบลูมมิงตัน ในขณะที่ผมกำลังทำงานอยู่ในกรุงเทพฯ






3.ใช้ past continuous คู่กับ past simple


เมื่อเหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่(past continuous) ก็มีเหตุการณ์อีกอย่างหนึ่งเกิดขึ้น (past simple) เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ใช้ past continuous เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ใช้ past simple
คำเชื่อมประโยคมักจะได้แก่ when, as, while








1.It was raining when I came home.  เมื่อผมกลับบ้านนั้น ฝนกำลังตกอยู่








2.While the man was looking at the picture, a thief stole his purse.






ขณะที่ชายคนนั้นกำลังดูรูปภาพอยู่ ขโมยได้ลักเอากระเป๋าสตางค์ของเขาไป






3.As I was walking along the theatre, a car mounted the pavement and crashed into a shop.






ขณะที่ผมกำลังเดนอยู่หน้าโรงหนัง มีรถคันหนึ่งปีนขึ้นไปบนทางเท้า และพังเข้าไปในร้านขายของร้านหนึ่ง






หมายเหตุ ควรสนใจความหมายของการตอบคำถามต่อไปนี้







Did you hear about Anong's new job?   คุณรู้เรื่องงานใหม่ของอนงค์หรือเปล่า








Yes, my wife was telling me about it this morning.







หมายความว่า ภรรยาของผมได้บอกผมบ้างแล้ว แต่ผมก็ยังอยากรู้เรื่องนั้นอีก เพราะอาจจะเป็นว่าภรรยาบอกผมยังไมละเอียด






Yes, my wife told me about it this morning.


หมายถึงว่า ภรรยาของผมถึงเรื่องนั้นแล้วละ และผมก็ไม่สนใจ ไม่อยากจะรู้เรื่องนั้นอีกเลย

















Furture Continous(Progressive)








รูปกริยา subject + will(shall) be + (verb+ing ).











การใช้




1.ใช้ tense นี้ เมื่อต้องการจะบอกว่า ณ เวลาใดเวลาหนึ่งในอนาคตจะมีเหตุการณ์อะไรกำลังดำเนินอยู่
การใช้ tense นี้จึงต้องมี คำบอกเวลา ณ จุดหนึ่งในอนาคตกำกับอยู่ด้ยเสมอ คำบอกเวลานี้อาจเป็นกลุ่มคำ หรือวลีก็ได้






1. At this time tomorrow I shall be flying over Hong Kong.
ณ เวลานี้ในวันพรุ่งนี้ ผม(คง)จะกำลังเป็นอยู่เหนือฮ่องกง








2.He will be sleeping at 7 o'clock tomorrow morning.
เขา(คง)จะกำลังหลับอยู่ ณ เวลา 7 นาฬิกาพรุ่งนี้เช้า








3.He'll be busy working when we call.


เมื่อเราไปหาเขา เขาคงกำลังยุ่งอยู่กับงาน









2. ใช้ future continuous กับเหตุการณ์ในอนา คต ซึ่งผู้พูดตัดสินใจแน่นอนแล้วว่า จะทำเช่นนั้น (ประโยคเช่นนี้ใช้เพียง furture simple ก็ได้ แต่ความ หมายจะอ่อนลงไป)






1.I'll be working all day tomorrow.








พรุ่งนี้ผมจะทำงานทั้งวัน










(=I'll work all day tomorrow)















2.The Browns wil be staying with us again this year.

ปีนี้พวกครอบครัวบราวน์คงจะมาพักกับเราอีก


(=The Browns will stay with us again this year.)







3.What will you be doing tomorrow?


พรุ่งนี้คุณจะทำอะไร




(=What will you do tomorrow?)









4.The ship will be sailing tomorrow morning.

เรือจะออกเดินทางพรุ่งนี้เช้า



(=The ship will sail tomorrow morning.)





























































































Present Perfect










รูปกริยา Subject + has(have) + verb3.





การใช้




1.ใช้กับเหตุการณ์ซึ่งเกิดขึ้นในอดีต แต่ดำเนินติดต่อเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันขณะที่พูดประโยคนั้น
โดยปกริจะมี กลุ่มคำ หรือ ประโยค บอกว่าเหตึการณ์นั้นเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อใด เช่น
since + จุดเริ่มต้นของเวลา



for + จำนวนเวลานับจากเริ่มต้น



ever since ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงบัดนี้


so far เรื่อยมาจนเดี๋ยวนี้ เรื่อยมาจนปัจจุบันนี้


up to now จนบัดนี้ จนกระทั่วเวลานี้



up to the present time จนบัดนี้ จนกระทั่งเวลานี้


He has lived here since 1975.



He has lived here ever since.



He has lived here since then.



He has lived here since his father died.


He has lived here twenty years.


ควรสังเกตว่าหลัง since เป็น point of time คือจุดหนึ่งของเวลา เช่น since eight o'clock, since last week, since 1960, etc. สำหรับหลัง for เป็น period of time คืแป็นช่วงเวลาที่มีความยาวนาน เช่น for ten years, for three hours , for two weeks, etc. อนึ่ง หลัง since เมื่อเป็นประโยคก็จะต้องเป็น ประโยคที่แสดง point of time ซึ่งเป็น past เช่น
He has lived there since htis father died.

เขาอยู่ที่นั่นมาตั้งแต่บิดาของถึงแก่กรรม



จงเปรียบเทียบ




1.I have taught this class for ten years.


2.I taught this clas for ten years.


1.ผมสอนชั้นนี้มาสิบปีแล้ว บัดนี้ผมก็ยังสอนชั้นนี้อยู่


2.ผมสอนชั้นนี้เป็นเวลาสิบปี แต่บัดนี้ผมไม่ได้ส่อนแล้ว(คืนเคยสอนมาเป็นเวลา 10 ปี แล้วเลิกสอน)






2.ใช้ present perfect แสดงการเคยหรือไม่เคย


มักจะมีคำว่า never , ever, once, twice,... รวมอยู่ด้วยเสมอ

1. Have you ever been to New York City?


คุณเคยไปนครนิวยอร์กไหม



2. Yes, I've been there many times.


ครับ เคยหลายหนแล้ว




3. No, never. I've never been abroad.


ยังครับยังไม่เคยไป ผมยังไม่เคยไปเมืองนอกเลย








3.ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ที่เพิ่งจบลงใหม่ ๆ

มักจะใช้คำ just, already(บอกเล่า) หรือ yet (คำถามหรือปฏิเสธ)

1. The train has just arrived.



รถไฟเพิ่มมาถึง




2. The train has alread arrived.



รถไฟมาถึงแล้ว




(=The train has arrived already.)


3. Has the train arrived yet (already)?


รถไฟมาถึงหรือยัง




4. No , not yet.




ยัง ยังไม่มาถึง




หมายเหตุ มีอีกคำหนึ่ง คือ just now ซึ่งอาจมีความหมายได้ 2 อย่าง เมื่อครู่นี้ กับ ขณะนี้
ถ้า just now = เมื่อครูนี้ ใช้กริยา past simple


ถ้า just now = ขณะนี้ ใช้กริยา present perfect


1.I told you about it just now.



ก็ผมบอกเรื่องนั้นเมื่อครูนี้น่านา



2.He has finished his work just now.


(ขณะนี้) เขาเพิ่งจะทำงานของเขาเสร็จ









4.ใช้ present perfect กับเหตุการณ์ซึ่งความจริงจบลงไปแล้ว แต่ใจผู้พูดยังรู้สึกในผลของเหตึการณ์นั้นๆอยู่
1. I have finished the book.



ผมอ่านหนังสือนั้นจบแล้ว




2. I've opened the window.



ผมเปิดหน้าต่างแล้ว




3.The clock has stopped.



นาฬิกาหยุดเสียแล้ว




4. I've seen him before.



ผมเคยพบเขาแล้ว







































Past Perfect










รูปกริยา Subject + had + verb3





การใช้




1. ใช้ tense นี้ เมื่อมีเหตุการณ์ 2 อย่างในอดีต อย่างหนึ่งเกิดก่อนอีกอย่างหนึ่ง
เหตุการณ์ที่เกิดก่อนใช้ past perfect



เหตุการณ์ที่เกิดภายหลัง ใช้ past simple


1. Anong had learned English before she went to England.
อนงค์รู้จักภาษาอังกฤษก่อนไปประเทศอังกฤษ


2. When we got to the field, the football match had already started.
เมื่อเราไปถึงสนามนั้น การแข่งขันฟุตบอลได้เริ่มขึ้นแล้ว


3. I didn't go to the cinema because I had already seen the film.
ผมไม่ไปดูหนัง เพราะผมดูหนังเรื่องนั้นมาแล้ว


4. I had lost my pen and I was unable to do the exercises.
ผมทำปากกาหาย ผมจึงไม่สามารถทำแบบฝึกหัดได้


5. He had unloced the door ; there was nothing to prevent you from going out.
เขาไขกุญแจประตูออกแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีอะไรจะขัดขวางไม่ให้คุณออกไป
การใช้ past perfect นี้ จะได้พบอีกครั้งหนึ่งเมื่อได้กล่าวถึงประโยคคาดคะเน สมมุติ หรือประโยคแสดงความปรารถนา และในการนำคำของผู้อื่นมาเล่า ( indirect speech) ซึ่งจะได้กล่าวถึงการใช้ tense นี้ในเรื่องนั้น ๆ






2. ใช้ past perfect กับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนเวลาหนึ่งในอดีต

1. Jane had never seen a lion until yesterday.

เจนไม่เคยเห็นสิงโตเลยจนกระทั่วเมื่อวานนี้ (จึงได้เห็น)


2. Soon the police arrived at the scene of the robbery. But they were too late . The thieves has already gone.
ไม่ใช้พวกตำรวจก็ไปถึงที่โจรกรรม แต่สายเกินไป พวกโจรพากันไปเสียแล้ว



















































Future Perfect










รูปกริยา Subject + will have + verb3











การใช้




1. ใช้ tense นี้ เมื่อต้องการจะบอกว่าเมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคตเหตุการณ์อย่างหนึ่งได้จบสิ้นลง
"เวลาหนึ่งในอนาคต" นี้ ถ้าเป็น คำบอกอนาคต นิยมใช้หลัง by หรือ before เช่น






by tomorrow ก่อนพรุ่งนี้ (เมื่อถึงพรุ่งนี้)








by eight o'clock ก่อน 8 นาฬิกา (เมื่อถึง 8 นาฬิกา)








by next month ก่อนเดือนหน้า(เมื่อถึงเดือนหน้า)








before next year ก่อนปีหน้า









after two months หลังจาก 2 เดือน(นับจากหนึ่ง)


ถ้าเป็น ประโยคบอกอนาคต ใช้กริยาเป็น present simple เช่น













1. They will have finished the work by next week.

ถึงสัปดาห์หน้าพวกเขาก็คงจะเสร็จงานนั้นแล้ว


(=เสร็จงานนั้นก่อนสัปดาห์หน้า)









2. They will have finished the work when we arrive.

เมื่อเราไปถึงพวกเขาก็คงจะเสร็จงานนั้นแล้ว


(= เสร็จงานนั้นก่อนพวกเราไปถึง)









3. All these roses will have died before Chrismas.

กุหลาบนี้คงจะตายก่อนถึงวันคริสต์มาส









4. She will have been in England be the end of March.

เมื่อถึงสิ้นเดือนมีนาคมหล่อนคงจะอยู่ในอังกฤษเรียบร้อยแล้ว

(=อยู่ในอังกฤษก่อนสิ้นเดือนมีนาคม)









5. It is now 8:30. I shall have finished my work by 2 p.m.
ขณะนี้เวลา 8.30 น. ผมคงจะเสร็จงานก่อนบ่าย 2 โมง


(= เมื่อถึงบ่าย 2 โมงนั้นผมคงจะเสร็จงานแล้ว)








2. อาจใช้ future perfect แสดงความคาดคะเนหรือสงสัย

You will have heard, I expect, that Ladda is going to get married.
ผมคาดว่าคุณคงจะระแคะระคายมาแล้ว่าลัดดาจะแต่งงาน































































Present Perfect Continuous








รูปกริยา Subject + has(have) been + (verb+ing)











การใช้




ใช้ได้เฉพาะกริยาที่มีการต่อเนื่อง ใช้กับเหตุการ์ที่เกิดขึ้นในอดีตและดำเนินติดต่อกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน เช่น
Bill has been living in Bangkok since 1975.

บิลอยู่ในกรุงเทพมาตั้งแต่ปี 1975.



จะเห็นว่า การใช้ present perfect continuous ก็เหมือนกับการใช้ present perfect ธรรมดา เพียงแต่ perfect continuous เน้นถึงความต่อเนื่องของเวลามากกว่า perfect ธรรมดาเท่านั้น
ปกติ : Bill has lived in Bangkok since 1975.

เน้นความต่อเนื่อง : Bill has been living in Bangkok since 1975.
บิลอยู่ในกรุงเทพมาตั้งแต่ปี 1975.



ปกติ : He has worked on the problem for two hours so far.
เน้นความต่อเนื่อง : He has been working on the problem fo two hours so far.
เขาทำโจทย์มาเป็นเวลา 2 ชั่วโมงแล้ว



Note ควรระวังว่ากริยาที่ไม่แสดงควมต่อเนื่องของการกระทำ ( continuity of action ) จะใช้ tense นี้ไม่ได้
ผิด : The train has been arriving.


ถูก : The train has arrived.



ผิด : The clock has been stopping.


ถูก : The clock has stopped.



ระวังไม่ใช้ perfect continuous กับคำต่อไปนี้ just, already, never, finally



































Past Perfect Continuous









รูปกริยา Subject + had been + (verb+ing).





การใช้




การใช้ past perfect continuous มีหลักการเช่นเดียวกับการใช้ past perfect ธรรมดา คือ โดยปกติจะใช้ได้ก็ต่อเมื่อมีเหตึการณ์ในอดีต 2 เหตุการณ์ ขณะที่เหตุการณ์หนึ่งกำลังดำเนินอยู่ก็อีกเหตุการณ์หนึ่งเกิดขึ้น
เหตุการณ์ที่กำลังดำเนินอยู่ใช้ past perfect (continuous)

เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นใหม่ ใช้ past simple


จงดูประโยคนี้ When I got to the meeting, the lecturer had spoken for half an hour.
เมื่อผมไปถึงที่ประชุมนั้น ผู้บรรยายได้พูดมาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมงแล้ว

จะเห็นว่า ประโยคนี้ได้ความดีอยู่แล้วจากการใช้ past perfect ธรรมดา แต่ประโยคนี้จะได้ความดีขึ้นอีก ถ้าใช้ past perfect continuous คือ
When I got to the meeting, the lecturer had been speaking for half an hour.
ซึ่งถ้าดูคำแปลประโยคนี้ ก็จะเหมือนกับคำแปลที่แล้ว แต่ความหมายของประโยคนี้ดีกว่าประโยคก่อนเพราะเน้นถึงการที่ผู้บรรยาได้บรรยายติดต่อกัน มาเป็นเวลาครึ่งชั่วโมง ต่างกับประโยคแรกที่ไม่ได้เน้นถึงความต่อเนื่องของการบรรยาย (โดยปกติการบรรยายนั้นเขาก็บรรยายติดต่อกันมาไม่ใบรรยาแล้วหยุดแล้วบรรยายต่อ ดังนั้นประโยคนี้จึงได้ใจความดีกว่าประโยคแรกมากดังกล่าวแล้ว)
โดยทำนองเดียวกัน ประโยคว่า



The telephone had been ringing for five minutes before it was answered.
โทรศัพท์ได้ฟัง (ติดต่อกันมา) เป็นเวลาห้านทีก่อนที่จะมีผู้รับ

ย่อมได้หมายความดีกว่าประโยคว่า



The telephone had rung for five minutes before it was answered.
ประโยคหลังนี้ไม่ผิด แต่ความหนักแน่นสู้ประโยคแรกไม่ได้ เนื่องจากประโยคแรกเน้นถึงการที่โทรศัพท์ดังติดต่อกันมาเป็นเวลาห้านาที ซึ่งประโยคหลังนี้ไม่มีการเน้นดังกล่าว
ควรระวัง กริยาที่ไม่แสดงความต่อเนื่องจะใช้ใน continuous tense ไม่ได้





























Future Perfect Continuous









รูปกริยา Subject + will(shall) + have been + (verb+ing)











การใช้




หลัการเช่นเดียวกับการใช้ future perfect ธรรมดา เราจะใช้ perfect continuous เฉพาะเมื่อต้องการเน้นความต่อเนื่องเท่านั้น
คือใช้เมื่อต้องการจะบอกวา เมื่อถึงเวลาหนึ่งในอนาคต เหตุการณ์อย่างหนึ่งซึ่งดำเนินมาก่อนหน้านั้นก็ยังคงดำเนินอยู่และจะดำเนินต่อไปอีก
1.By eleven o'clock I shall have been working for three hours.
เมื่อถึงเวลา 11 นาฬิกา ผมก็จะทำงาน(ติดต่อกันมา) ครบสามชั่วโมง (และผมก็จะทำงานต่อไปอีก)
จะเห็นว่าประโยคนี้ก็เหมือนประโยคที่ว่า



By eleven o'clock I shall have worked for three hours.
เพียงแต่ประโยคหลังนี้ไม่ได้เน้นถึงการทำงานติดต่อกันมาเหมือนประโยคแรก ประโยคหลังนี้บอกเพียงว่า เมื่อถึงเวลา 11 น. ผมก็จะทำงานครบ 3 ชั่วโมง ไม่ความหมายพิเศษอย่างอื่น
2. On August 12th we shall have been living in this house exacly four years.
เมื่อถึงวันที่ 12 สิงหาคม เราก็จะอยู่บ้านหลังนี้ครบ 4 ปีพอดี (และจะอยู่ต่อไปอีก)






จงพิจารณาประโยคต่อไปนี้









1. It is now November.



ขณะนี้เป็นเดือนพฤศจิกายน



2. I wrote this book in June.



ผมเขียนหนังสือนี้เมื่อเดือนมิถุนายน



3. I have been writing this book for five months.

ผมเขียนหนังสือน้มาเป็นเวลา 5 เดือนแล้ว(เขียนติดต่อกันมาเป็นเวลา 5 เดือนละบัดนี้กำลังเขียนคู่)
4. In October I was still writing this book and had been writing this book.
เมื่อเดือนตุลาคม (ที่แล้ว) ผมก็กำลังเรียนหนังสือนี้อยู่ และได้เขียนหนังสือนี้ (ติดต่อกันมา) เป็นเวลา 4 เดือนแล้ว
5. In December I shall be writing this book and shall have been writing this book for six months.
ในเดือนธันวาคม(ที่จะถึงนี้) ผมก็คงจะกำลังเขียนหนังสือนี้อยู่อีก และ(ในตอนนั้น) ผมก็จะเขียนหนังสือนี้ครบเวลา 6 เดือน (แต่ก็จะยีงเขียนต่อไปอีก)
6. I shall finish this book in January, when I shall have written this book seven months.
ผมจะเขียนหนังสือนี้จบในเดือนมกราคม(ที่จะถึงนี้) ซึ่ง (ในตอนนั้น) ผมก็จะเรียนหนังสือนี้มาเป็นเวลา 7 เดือน






โปรดสังเกตข้อ 5 และ ข้อ 6



ในข้อ 5 ประโยคตอนหลังใช้ future perfect continuous แสดงความต่อเนื่องของการเขียน (เมื่อถึงเดือนธันวาคมก็ยังเขียนอยู่ และจะเขียนต่อไป)
ต่างกับข้อ 6 ประโยคตอนหลัง ใช้ future perfect ธรรมดาเพื่อต้องการแสดงว่เมื่อถึงเดือนมกราคมกาเขียนก็คงจะเสร็จสิ้น ไม่เขียนอีกต่อไป









































































Adverbs










หลักการสังเกตจำกริยาวิเศษณ์คือ กริยาวิเศษณ์ส่วนมากลงท้ายด้วย ly เพราะส่วนมากเปลี่ยนรูปมาจากคำคุณศัพท์ ตามหลักเกณฑ์ต่อไปนี้












1. เพิ่ม ly ท้ายคำคุณศัพท์เพื่อให้เป็นกริยาวิเศษณ์เช่น slow = slowly, bad = badly






2. คุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย y ให้เปลี่ยน y เป็น i แล้วเติม ly เช่น lazy = lazily






3. คุณศัพท์ที่ลงท้ายด้วย le ให้ตัด e ทิ้งแล้วเติม y เช่น possible = possibly แต่มีคุณศัพท์อยู่ 2 คำต้องตัด e ทิ้งก่อนเติม ly เช่น true = truly , due = duly ถ้าต๋อยจำหลักนี้ได้ ว่าเป็นกริยาวิเศษณ์ นอกจากนี้ต้องจำว่ากริยาวิเศษณ์มีหน้าที่ 3 อย่าง คือ ขยายกริยา ขยายคุณศัพท์ และขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกัน โดยพิจารณาจากหน้าที่เช่น






1. ขยายกริยา เช่น










Nipon runs quickly.









อธิบาย quickly ขยาย run เพื่อให้เรารู้ว่าวิ่งอย่างไร ดังนั้น "อย่างไร" จึงเป็นกริยาวิเศษณ์เพราะขยายกริยาว่าวิ่ง






2.ขยายคุณศัพท์ เช่น










He is very impertinent.









อธิบาย very ขยาย impertinent คุณศัพท์ เพื่อให้เรารู้ว่าเขาทะลึ่งเท่าไร ดังนั้น "มาก" จึงเป็นคำกริยาวิเศษณ์เพราะขยายคำคุณศัพท์ "ทะลึ่ง" (เลือก,อวดดี, ไม่เข้าเรื่อง)






3.ขยายกริยาวิเศษณ์ด้วยกัน เช่น









Ladda reads quite clearly.









อธิบาย quite ขยายกริยาวิเศษณ์ clearly เพื่อให้เรารู้ว่าลัดดาอ่านอย่างชัดเจนถึงขั้นไหน ดังนั้น "ทีเดียว" จึงเป็นกริยาวิเศษณ์ เพราะทำหน้าที่ขยายกริยาวิเศษณ์ "อย่างชัดเจน"















Kinds of Adverbs









เพื่อให้เข้าใจอย่างชัดเจนและรู้กว้างขวางมากขึ้น ในการพิจารณากริยาวิเศษณ์จึงอยากให้ต๋อยเรียนการพิจารณาหน้าที่ของกริยาวิเศษณ์แต่ละชนิด ซึ่งมีอยู่ 9 ชนิด ดังต่อไปนี้คือ






1.Adverb of Quality or Manner



คือคำวิเศษณ์ที่แสดงอาการ หรือคุณภาพ จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How สร้างเป็นรูปประโยคคำถามได้ เช่น
a. How did he speak English ?


b.He spoke English well.









2.Adverb of Time




คือคำวิเศษณ์ที่บอกเวลา จะพิสูจน์ได้โดยใช้ When ตั้งคำถามถามได้เช่น
a.When did you meet him?



b.I met him yesterday.









3.Adverb of Number



คือคำวิเศษณ์ที่บอกจำนวนเวลา หรือระยะเวลา จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How often สร้างเป็นรูปประโยคคำถามถามได้ เช่น
How often does he do his homework?


He always does his homework.








4.Adverb of Quantly or Degree


คือคำวิเศษณ์ที่บอกปริมาณมากหรือน้อยเท่าไร จะพิสูจน์ได้โดยใช้ How หรือ How + Adj. , or How + adv. สร้างเป็นรูปประโยคคำถามได้ เช่น
a. How lazy is your friend ?



b.He is very lazy.










5.Adverb of Place




คือคำวิเศษณ์ที่บอกสถานที่ จะพิสูจน์ได้โดยการใช้ Where ตั้งคำถามถามได้เช่น
a.Where has your sister gone?


b.She has gone home.









6.Adverb of Affirmation of Negation


คือคำวิเศษณ์ซึ่งแสดงการยืนยัน หรือคำซึ่งปฏิเสธ หรือคำที่เป็นการคาดคะเน พิจารณาดูตัวอย่างนะต๋อย
a.I do not know hom.



b.He is certainly a good boy.









7.Adverb of Reason



คือคำวิเศษณ์ที่แสดงเหตึผลอันสืบเนื่องมาจากการกระทำต่างๆ เช่น

a.He could't pass the exam.



b.She is hence unable to refute the charge.







8.Intersifying Adverb



คือคำวิเศษณ์ซึ่งเน้นกริยา หรือคุณศัพท์ เช่น


a.I was also absent from school.


b.Even I was punished.









9.Interrogative Adverb



คือคำวิเศษณ์ที่เป็นคำถาม ซึ่งมีอยู่ 4 คำเท่านั้น เช่น


a.Where is Ladda?



b.When did you come?



c.Why are you angry?



d. How did you contrive it?































POSITION OF ADVERBS









หลักเกณฑ์การวาง adverb ให้ถูกต้องนั้นต้องอาศัยความเข้าใจจากชนิดของคำวิเศษณ์ที่เรียนมาแล้ว จึงจะช่วยให้มีหลักการพิจารณาได้ดังต่อไปนี้คือ






1. Adverbs โดยทั่วๆ ไปจะต้องวางหลักกริยา is, am, are, was, were เช่น












She is often late for school.









2.Adverbs ที่ตอบคำถาม How ได้ จะวางไว้หน้าประโยค หรือวางหลังประโยคก็ได้ เช่น












He behaves badly.















Nipon plays football well.









3.Adverbs ที่ตอบคำถาม When ได้ จะวางไวหน้าประโยค หรือวางหลังประโยคก็ได้ เช่น












He will come tomorrow.















yeserday I went to the cinema.








4.Adverbs ที่ตอบคำถาม How often "บ่อยเท่าไร" ตามปกติจะต้องวางไว้หน้ากริยาสำคัญ หรือกริยาแท้ของประโยค แต่มีคำที่วางหลังประโยค once , twice












I sometimes eat my dinner at six.














I have always written a letter in English.








5.Averbs ที่ตอบคำถาม Where ได้ ตามปกติจะต้องวางไว้หลังประโยค เช่น












Your friend has gone home.















She has never come here.









6.เมื่อมีการใช้คำวิเศษณ์ และกลุ่มคำวิเศษณ์ร่วมกัน 3 ชนิดที่แตกต่างกัน จะมีวิธีเรียงลำดับดังนั้น












1.He spoke well at the meeting this afternoon.













adv. of manner + place + time















2.I was born at seven o'clock on a cold December evening in the year 1962.












ข้อ 2 เรียงลำดับดังนี้ ชั่วโมง + เช้า ,บ่าย หรือตอนเย็น + ปี







7.Adverbs ที่ใช้ตามหลักข้อ 1 และข้อ 4 ถ้าต้องการใช้พูดเน้นหรือย้ำ ภาษาพูดส่วนากที่วางไว้หน้า กริยาตัวที่หนึ่งของประโยคได้ เช่น












I never could understand English.














You are late again! You always are late every day.

และการตอบคำถามสั้น ๆ ซึ่งคำตอบนั้นมีกริยาเพียงตัวเดียว ก็ใช้คำวิเศษณ์วางข้างหน้าได้ เช่น












Can you buy meat there?















yes, I usually can. No, I never can.




















Going to











การแสดงอนาคตโดย going to



1.ใช้ going to + verb แสดงความตั้งใจ เช่น


1. I am going to write Anong this evening.


คืนนี้ผม(ตั้งใจว่า) จะเขียนจดหมายถึงอนงค์


2.He says he is going to buy a new car next month.

เขาพูดว่าเขา(ตั้งใจว่า) จะซื้อรถใหม่สักคันหนึ่งในเดือนหน้า







2.ใช้ going to + verb แสดงการคาดคะเน


1. I think it is going to rain.



ผมคิดว่าฝนคงจะตก




2. I am afraid that the repairs to our house are going to cost a lot of money.
ผมเกรางว่า การซ่อมแซมบ้านของเราคงจะสิ้นเปลืองเงินเป็นจำนวนมาก







3.ใช้ going to + verb แสดงความเชื่อมั่นว่าจะมีเหตุการณ์นั้นจริง

My wife is going to a baby.



ภรรยาของผมกำลังจะมีบุตร (เนื่องจากแพทย์บอก)








***ข้อสังเกต




1.ไม่นิยมใช้รูป going to + verb แสดง pure futerity (ความเป็นอนาคตอย่างแท้จริง)
ผิด : I am going to be twenty-nine in September.

ถูก : I shall(will) be twenty-nine in September.

ผมจะมีอายุ(ครบ) 29 ปี ในเดือนกันยายนนี้.


2.ไม่นิยมใช้ going to ในประโยคอนาคตที่เป็นเงื่อนไข


ผิด : If you ever go to Japan you are going to like the food there.
ถูก : If you ever go to Japan you will like the food there.
ถ้าหากคุณได้ไปญี่ปุ่น คุณคงจะชอบอาหารที่นั่น
































กฎการเติม ing ที่คำกริยา










กฎการเติม ing ที่คำกริยา



1.ตัด e ทิ้ง(ถ้า e ตัวนั้นไม่ออกเสียง) เช่น


write-writing, move-moving, tremble-trembing

ยกเว้น see-seeing, agree-agreeing


2.เปลี่ยน ie เป็น y ก่อนเติม ing เช่น



die-dying, lie-lying, tie-tying



ข้อสังเกต ski-skiing(เล่นสกี)



3.เติมตัวสะกดอีก 1 ตัว ถ้าเป็นคำพยางค์เดียว มีสระตัวเดียว และพยัญชนะสะกดตัวเดียว เช่น
dig-digging, run-running, zip-zipping


4.เติมตัวสะกดอีก 1 ตัว ถ้าเป็นคำสองพยางค์ ซึ่งลงเสียงหนัก (stress) ที่พยางค์หลัง เช่น
begin-beginning, occur-occurring, refer-referring

หมายเหตุ คำลงท้ายด้วย l จะเพิ่ม l อีกตัวหนึ่ง หรือไม่เพิ่มก็ได้ (แบบอเมริกันไม่เพิ่ม l)
อเมริกา : travel-traveling, quarel-quarrenling


อังกฤษ : travel-travelling, quarel-quarrenlling































Shall










Shall เมื่อใช้กับ I หรือ we อาจมีความหมาย แสดงความตั้งใจ

1.I shall do what I like.



ฉันจะทำตามที่ฉันชอบ




2.I shall go there if I want to.



ผมจะไปที่นั่น ถ้าหากผมว่าปรารถนา(จะไป)


3.We shall defend our country whatever the cost may be.
เราจะป้องกันประเทศของเราจนถึงที่สุด



4."We shall figt on the beaches , we shall fight on the landing ground, we shall fight in the fields and in the streets, we shall fight in the hills; we shall never surrender."
"เราจะสู้ตามชายหาด เราจะสู้บนที่ซึ่งมีการยกพลขึ้นบก เราจะสู้ในท้องทั่งและในถนน เราจะสู้ในภูเขา เราจะไม่มีวันยอม จำนนเป็นอันเด็ดขาด"






เมื่อใช้ shall กับ you, he , she, it , they, etc. อาจมีความหมายว่า

1.เป็นเชิงให้สัญญา (ผู้พูดเป็นผู้ให้สัญญา)


1. If you work hard you Shall have a holiday on Saturday.
ถ้าพวกเธอทำงานให้จริงจัง ก็จะได้หยุดทุกวันเสาร์


2.You shall have the money as soon as I get it.

2.เป็นเชิงบังคับ(ผู้พูดเป็นผู้บังคับบัญชา)



1.If you children won't do as I tell you, you shan't go to the party
2.Do this or you shall be punished?


ทำสิ่ง มิฉะนั้นเธอจะถูกทำโทษ( = ทำนะถ้าไม่ทำจะโดนทำโทษ)

3.เป็นเชิงแสดงความตกลงใจอย่างแน่วแน่ (ของผู้พูด)


1.These people want to buy my house, but they shan't have it.
คนเหล่านี้อยากจะซื้อบ้านของผม แต่ว่าเขาไม่มีหวังจะได้มันหรอก

(เพราะผมตกลงใจอย่างแน่นแน่เสียแล้วว่าจะไม่ขาย)


2.The enemy shall not pass.



ศัตรูไม่มีทางที่จะผ่านไปได้หรอก



(เพราะเราตกลงใจอย่างแน่วแน่เสียแล้วว่าจะไม่ยอมให้มันผ่านไปได้)







Will











Will เมื่อใช้ will กับ I และ we อาจมีความหมาย


1.เป็นการแสดงความตั้งใจจริง



1.I will try again this year.



ปีนี้ผมจะพยายามอีก (หลังจากที่ผมเคยสอบตกมาแล้ว)


2.I will make this radio work even if I have to stay up all night.
ผมจะทำให้เจ้าวิทยุเครื่องนี้ทำงานให้ได้ แม้ว่าผมจะต้องอยู่ทั้งคืนก็ตาม

2.เป็นการให้สัญญา




1. I won't forget Ladda's birthday . I will send her a present.
ผมจะไม่ลืมวันเกิดของคุณลัดดาแน่ ผมจะส่งของขวัญไปให้หล่อน

2.Will you take her to be your lawful wedded wife ?

คุณจะ (ยอมรับ)ถือว่าหล่อนเป็นภรรยาที่แต่งงานโดยถูกต้องตามกฎหมายหรือไม่






ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น